ทำความเข้าใจสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้กระจ่างมากขึ้น
การซื้อรถยนต์ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อรถยนต์กันแบบผ่อน ใช้บริการในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแล้วค่อยผ่อนชำระในภายหลัง จะ 3 ปี 4 ปี 5 ปี ก็แล้วแต่ความสะดวก แต่ก็ยังมีอีกหลายรายละเอียดที่คนซื้อยังไม่เข้าใจ ว่าสัญญาในการผ่อนชำระนั้น มันไม่เหมือนกับการซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ส่วนจะมีรายละเอียดที่สำคัญอะไรบ้าง เรามาทยอยทำความเข้าใจไปทีละส่วนครับ
การซื้อรถกับซื้อบ้าน กู้ซื้อเหมือนกัน แต่รูปแบบการกู้แตกต่างกัน
ต้องเริ่มอธิบายก่อนว่า การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์กับการซื้อรถยนต์นั้น มีรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยการซื้อบ้านนั้น เป็นการทำสัญญาแบบ “จดจำนอง” โดยเมื่อเราทำสัญญาซื้อขายกับผู้ขายแล้ว จะมีการทำสัญญาจดจำนองกับสถาบันการเงิน โดยทางผู้ขาย จะมีการ “โอนทรัพย์สินให้เป็นชื่อของผู้ซื้อ” แล้วมีการสลักหลังเอาไว้ว่า ทรัพย์สินนี้ติดหนี้จำนองไว้กับสถาบันการเงิน (ต้องทำที่สำนักงานที่ดิน) แล้วทางสถาบันการเงินจึงจะทำการจ่ายเงินให้กับผู้ซื้อตามจำนวนที่ทำสัญญากันอีกที ดังนั้นสัญญาแบบนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของจะไม่สามารถทำการขายหรือโอนให้กับผู้อื่นได้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากสถาบันการเงินที่เป็นผู้รับจำนอง และเมื่อทางผู้ซื้อทำผิดสัญญาในการส่งค่างวด ทางสถาบันการเงินต้องทำการฟ้องศาล เพื่อบังคับคดีให้ผู้ซื้อ “ขาย” ทรัพย์สินที่ติดจำนอง เพื่อนำเงินจากการขายมาชำระหนี้ให้หมด
ส่วนสัญญาเงินกู้เพื่อผ่อนรถยนต์นั้น จะเป็นสัญญาในรูปแบบ “เช่าซื้อ” ขั้นตอนจะคล้ายกับซื้อบ้าน คือผู้ซื้อทำสัญญากับผู้ขาย แล้วผู้ซื้อทำสัญญากับสถาบันการเงิน จากนั้นทางผู้ขายจะทำการ “โอนทรัพย์สินให้เป็นของสถาบันการเงิน” แล้วระบุชื่อครอบครองเอาไว้ที่สมุดทะเบียนประจำรถ ก็คือชื่อของผู้ซื้อนั่นเอง ดังนั้น ทรัพย์สินที่ผู้ซื้อครอบครองอยู่นั้น จะยังไม่ได้เป็นของผู้ซื้อ เพียงแต่ทำการ “เช่าใช้งาน” จากสถาบันการเงิน เพียงแต่เมื่อทำการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยครบเมื่อไหร่ สถาบันการเงินถึงจะทำการโอนทรัพย์สินให้กับผู้ซื้อในภายหลัง
รูปแบบต่างกัน วิธีคิดดอกเบี้ยก็ต่างกัน
สัญญาของการคิดดอกเบี้ยของการ “จดจำนอง” และ “เช่าซื้อ” นั้นแตกต่างกัน โดยการคิดดอกเบี้ยของการซื้อบ้านนั้น จะคิดในแบบ “ลดต้นลดดอก” หรือเรียกกันตามภาษาการเงินว่า Effective Rate ที่จะมีการคำนวนดอกเบี้ยกันทุกเดือน เมื่อมีการชำระใน 1 งวด จะมีการจ่ายทั้งดอกเบี้ยทั้งหมดและเงินต้นในจำนวนหนึ่ง และเดือนต่อไป เมื่อเงินต้นลดลงแล้ว ดอกเบี้ยก็จะลดตามไปด้วย อย่างเช่น กู้เงินจำนวน 100,000 บาท ดอกเบี้ย 10% ต่อปี ต้องชำระเงินงวดแรกในเดือนเมษายน โดยในปีนั้นมี 365 วัน สูตรจะออกมาเป็น (100,000 x 0.1 x 30) ⁒ 365 จะได้ค่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระงวดนั้น 821.92 บาท และเมื่อเราชำระเงินไปจำนวน 1,500 บาท หมายความว่า งวดนั้นเราจะหักเงินต้อนออกไปได้ 678.08 บาท ทำให้เหลือเงินต้น 99321.92 บาท ก็จะใช้ตัวเลขนี้นำไปคำนวนเป็นเงินต้นในงวดถัดไป
แต่สำหรับการเช่าซื้อรถยนต์นั้น จะมีการคิดเงินในรูปแแบ Flat Rate ซึ่งหมายความว่า จะมีการนำอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหมดมาคำนวนรวม แล้วหารเฉลี่ยออกไปเท่า ๆ กันทุกงวด ยกตัวอย่างดังนี้
นายเต้ยต้องการซื้อรถยนต์ Toyota Hilux Revo Prerunner Double Cab 2X4 2.4 TRD Sportivo ราคารวมอุปกรณ์ตกแต่ง 935,000 บาท (รวม VAT. 7% แล้ว) โดยจะดาวน์ 20% ผ่านสถาบันการเงินที่คิดดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผ่อนชำระ 60 งวด (5 ปี) ก็จะเข้าสูตรคำนวณดังนี้
1.) 935,000 (ราคารถ) – 187,000 (เงินดาวน์) = 748,000 (ยอดจัดซื้อ)
2.) 748,000 (ยอดจัดซื้อ) x 5% (ดอกเบี้ยต่อปี) = 37,400 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี)
3.) 37,400 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี) x 5 (จำนวนปีที่ทำการผ่อนชำระ) = 187,000 (ดอกเบี้ยทั้งหมด)
4.) 187,000 (ดอกเบี้ยทั้งหมด) + 748,000 (ยอดจัดซื้อ) = 935,000 (ยอดหนี้ทั้งหมด)
5.) 935,000 (ยอดหนี้ทั้งหมด) ÷ 60 (จำนวนเดือนที่ต้องผ่อนชำระ) = 15,583.33 ปัดขึ้นเป็น 15,584 (ยอดชำระรายเดือน)
จะเห็นได้เลยว่า แต่ละงวดนั้น จะมีการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นไปจำนวนเท่ากันทุกงวด ตลอดระยะเวลาของการผ่อนชำระเลย
ทำไมเช่าซื้อรถยนต์ถึงไม่คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกบ้าง?
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่แล้ว จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวัน ซื้อวันนี้ในราคา 100 อีก 5 ปีอาจจะขึ้นราคากลายเป็น 600 ได้ แต่สำหรับสินค้าอย่างรถยนต์นั้น มูลค่าเสื่อมลงทุกปี ดังนั้นทางสถาบันการเงินจึงต้องแบกรับ “ความเสี่ยง” ในการขาดทุนถ้ากรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถทำการผ่อนชำระได้ตามสัญญา ดังนั้นการใช้ดอกเบี้ยแบบ Flat Rate จึงเป็นเหมือนการเก็บ “ค่าความเสี่ยง” ถ้าไปใช้ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก จะมีโอกาสเกิดความ “ไม่คุ้มค่า” กับการดำเนินธุรกิจได้ และที่สำคัญคือ อัตราการผิดสัญญาของอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์อย่างรถยนต์, รถมอเตอร์ไซค์นั้น มีอัตราที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นความเสี่ยงเหล่านี้ จึงแปรไปเป็นการเรียกเก็บดอกเบี้ยแบบ Flat Rate นั่นเอง
กฎหมายใหม่ให้เรียกเก็บดอกเบี้ยแบบ ลดต้นลดดอก (Effective Rate) ไม่ใช่หรือ?
เมื่อปีที่แล้ว ได้มีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมีใจความช่วงหนึ่งบอกว่า “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยสําหรับสินเชื่อเช่าซื้อในลักษณะของการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกเช่นเดียวกับการคํานวนดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยโดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด” ซึ่งหลายคนเอาไปตีความเอาเองว่า กฎหมายนี้ออกมาบังคับให้สถาบันทางการเงินเรียกเก็บดอกเบี้ยผู้กู้ในรูปแบบเดียวกับการซื้อบ้าน แต่แท้จริงแล้วภายหลังทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ทำการชี้แจงออกมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ว่า “การคิดดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังคงใช้แบบ เงินต้นคงที่ (Flat Rate) เหมือนเดิม”ตามที่ใช้ในการคำนวณค่าเช่าซื้อในแต่ละงวด ทั้งนี้ ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำตารางแสดงภาระหนี้สินตามสัญญาสำหรับผู้เช่าซื้อแต่ละราย โดยให้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) เพื่อประโยชน์กับผู้บริโภคให้ได้รับทราบภาระดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) หากผู้เช่าซื้อประสงค์จะปิดบัญชีค่าเช่าซื้อก่อนครบกำหนดสัญญา จะได้ส่วนลดอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระร้อยละ 50 และในกรณีการคิดเบี้ยปรับกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่างวดให้ผู้ประกอบธุรกิจคิดเบี้ยปรับได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (effective interest rate) บวกร้อยละสามต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปี” หมายความว่า ในสัญญาต้องระบุการคำนวนแบบ Effective Rate ไว้ให้ชัดเจนด้วย เพราะจะมีผลกับตอนคำนวนค่าปรับผิดนัดค่างวดนั่นเอง
ที่มาข้อมูล http://www.ocpb.go.th/news_view.php?nid=9029
ต้องระบุอะไรเอาไว้ในสัญญาเช่าซื้อบ้าง?
ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องมีการระบุข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในสัญญาเช่าซื้อ ดังนี้
- ยี่ห้อรุ่นหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถัง, เป็นรถใหม่หรือมือ 2, เลขไมล์, ภาระผูกพัน (ถ้ามี)
- ราคาเงินสด, จํานวนเงินจอง, จํานวนเงินดาวน์, ราคาเงินสดส่วนที่เหลือ, อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อปี (Flat Interest Rate), ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate), จํานวนงวดที่ผ่อนชําระ, จํานวนเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้น, จํานวนเงินค่าเช่าซื้อที่ผ่อนชําระในแต่ละงวด, จํานวนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชําระในแต่ละงวด, เริ่มชําระค่างวดแรกในวันที่ และชําระค่างวดต่อ ๆ ไปภายในวันที่
- วิธีคํานวณจํานวนเงินค่าเช่าซื้อ, จํานวนค่าเช่าซื้อจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระ และจํานวนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชําระในแต่ละงวด
- ตารางแสดงภาระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อสําหรับผู้เช่าซื้อแต่ละราย โดยให้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับจํานวนงวดค่าเช่าซื้อที่ต้องชําระ, วันเดือนปีที่ชําระเงินค่างวดเช่าซื้อ, จํานวนเงินค่าเช่าซื้อที่ชําระในแต่ละงวด โดยแยกเป็นเงินต้นดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อ, ภาษีมูลค่าเพิ่มและจํานวนเงินค่าเช่าซื้อคงค้าง
- อัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ
ดังนั้น ก่อนเซ็นชื่อในการทำสัญญาเช่าซื้อทุกครั้ง แนะนำให้อ่านสัญญาโดยละเอียด ว่ามีการระบุข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในสัญญาแล้วหรือไม่ ถ้ามีจุดไหนไม่ถูกต้อง ให้ทักท้วงทันที
ถ้าเราไม่ชำระค่างวดนานแค่ไหน สัญญาถึงจะถูกยกเลิกได้
เราก็พอทราบกันอยู่แล้ว ว่าการไม่ชำระเงินค่างวดเป็นจำนวน 3 งวด จะมีผลทำให้ทางสถาบันการเงินสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อฉบับนั้นได้ แต่ถ้าไปอ่านตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๑ จะมีการระบุเอาไว้ว่า “ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชําระค่าเช่าซื้อรายงวดสามงวดติด ๆ กันและผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชําระนั้นภายในเวลาอย่างน้อยสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือและผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวนั้นผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้” ถ้าอ่านกันตามตัวอักษรแล้ว หมายความว่า ถ้าไม่มีการชำระเงินเป็นจำนวน 3 งวดติดต่อกัน ทางผู้ให้เช่าซื้อถึงจะทำการยกเลิกสัญญาได้ โดยมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน 30 วันก่อนยกเลิกสัญญา (รวม 4 เดือน) แต่ถ้ากรณีผู้เช่าซื้อไม่ได้ชำระเงินในงวด 5, 6 และ 7 แต่มาชำระในงวดที่ 8 แล้วผู้ให้เช่าซื้อมีการรับชำระไว้โดยไม่มีการทักท้วง จะมีผลให้สัญญานั้นยังคงมีผลต่อไปได้อีกอย่างน้อย 3 เดือน เพราะกฎหมายมองว่า ผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้สัญญานั้นยังคงมีผลต่อไป (อ่านตัวอย่างคำพิพากษาได้ที่ www.peesirilaw.com/สัญญาและนิติกรรม/ค้างชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์.html) แต่ผู้เช่าซื้อนั้น ไม่สามารถบังคับให้ทางผู้เช่าซื้อรับเงินบางส่วนได้ในกรณีที่ค้างชำระ ทางสถาบันการเงินมีสิทธิ์ในการขอเรียกเก็บเงินค้างชำระทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับต่าง ๆ ได้ทั้งหมด ถ้าไม่มีการจ่ายให้ครบ ก็มีสิทธิ์ในการบอกเลิกสัญญาได้ตามที่กฎหมายระบุ
ปิดบัญชีเลย ต้องจ่ายเท่าไหร่?
ถ้าเราทำสัญญาซื้อบ้าน ที่มีการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Interest Rate) เกิดโชคดีเรามีเงินเพื่อปิดบัญชีได้ เราสามารถนำเงินไปชำระกับทางสถาบันการเงิน ตามเงินต้นที่ผู้ซื้อค้างชำระเอาไว้ พร้อมดอกเบี้ยที่คำนวนจนถึงวันปิดสัญญาได้เลย แต่สำหรับสัญญาเช่าซื้อนั้นแตกต่างกัน สมมุติว่าเราทำสัญญาผ่อนชำระไป 60 งวด แต่ผ่อนไปได้ 10 งวดแล้วถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 อยากจะปิดบัญชีเลย เราจะได้ส่วนลดดอกเบี้ยเป็นจำนวนอย่างน้อย 25 งวดเท่านั้น (จากจำนวน 50 งวดที่เหลือ) เพราะในกฎหมายระบุเอาไว้ว่า “หากผู้เช่าซื้อประสงค์จะปิดบัญชีค่าเช่าซื้อก่อนครบกำหนดสัญญา จะได้ส่วนลดอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระร้อยละ 50” นั่นเอง
สรุปแล้ว เจ้าหนี้สามารถยกรถไปได้เลยจริงหรือ กรณีถูกยกเลิกสัญญา?
ถ้ากรณีที่ผู้ซื้อ ไม่สามารถทำการชำระเงินค่างวดจำนวน 3 งวดติดต่อกัน และมีการส่งจดหมายแจ้งขอยกเลิกสัญญาล่วงหน้าแล้วจำนวน 30 วัน กฎหมายระบุเอาไว้ว่า “เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ และผู้ให้เช่าซื้อได้กลับเข้าครอบครองรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ที่ให้เช่าซื้อ” หมายความว่า สถาบันทางการเงินผู้เป็นคู่สัญญา สามารถยึดรถกลับมาไว้ในครอบครองได้เลย ดังนั้นการถูกยกรถไป จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เพราะถือว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของสถาบันการเงินนั่นเอง
เมื่อถูกยึดรถ ขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไร?
การไม่ผ่อนชำระค่างวดรถตามสัญญา แล้วถูกยกเลิกสัญญาจนถูกยึดรถกลับไป ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลง ต่างแยกย้ายกันไป เพราะการเป็นหนี้ยังคงอยู่ สถาบันการเงินจะทำการนำรถหรือรถจักรยานยนต์คันนั้นออกทำการขายทอดตลาดต่อไป ขั้นตอนนี้ผู้ซื้อยังมีสิทธิ์ในการดำเนินการเพื่อขอกลับมาเป็นเจ้าของได้ เริ่มจาก
- ทางสถาบันการเงินจะมีจดหมายแจ้งมาเพื่อให้ผู้ซื้อทำการเข้าซื้อรถคันนั้น ตามมูลค่าของยอดหนี้คงเหลือพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ หักส่วนลดตามความเหมาะสม โดยให้เวลาดำเนินการได้ภายใน 7 วัน
- ถ้าผู้ซื้อไม่สามารถดำเนินการขอซื้อคืนได้ ถ้ามีผู้ค้ำประกัน ต้องแจ้งผู้ค้ำให้เข้ารับสิทธิ์ในการซื้อคืนนี้ ภายในระยะเวลา 15 วัน
- ถ้าทั้งผู้ซื้อและผู้ค้ำประกัน ไม่สามารถดำเนินการซื้อคืนได้ ทางสถาบันการเงินจะนำรถออกขายทอดตลาด โดยจะมีการแจ้งทางผู้ซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันก่อนการประมูล
- ถ้าการขายทอดตลาด มีมูลค่าการขายได้มากกว่ายอดหนี้ ให้นำเงินส่วนต่างคืนกลับไปให้ผู้ซื้อ แต่ถ้าไม่พอ ให้บังคับเอาจากผู้ซื้ออีกที โดยมีจดหมายแจ้งภายใน 15 วันหลังจากการขายทอดตลาดได้
- ห้ามสถาบันการเงินในฐานะผู้ให้เช่าซื้อ เข้าร่วมในการประมูลโดยเด็ดขาด ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ดังนั้นใครที่คิดว่า ปล่อยให้ยึดรถไปแล้วเรื่องจบ ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับ
เครดิต www.autodeft.com