ย้อนตำนานความหรูหรา BMW ซีรีส์ 7กับ 6 โมเดล ใน 4 ทศวรรษ
ถ้านึกถึงรถยนต์หรูขนาดใหญ่ที่รวมเอาเทคโนโลยีสุดล้ำมารวมไว้ในคันเดียว คงจะพูดได้เต็มปากว่า BMW 7 Series หรือที่เรียกกันติดปากว่า BMW ซีรีส์ 7 คือคำตอบของนิยามนั้น เพราะเป็นอัครยานยนต์ที่ค่าย BMW ยกให้เป็นซีรีส์ที่เหมือนเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของความหรูหรา สัญลักษณ์ของความสำเร็จ ที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับกันมาอย่างยาวนาน
แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า BMW 7 Series มีอายุยาวนานมาถึง 42 ปีแล้ว โดยถือกำเนิดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีฐานะสูงขึ้น ต้องการความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารมากขึ้น และการให้พละกำลังที่สูงขึ้นกว่ารถในตลาด ณ เวลานั้น โดยในตลอดระยะเวลาได้ผ่านการเปลี่ยนตัวถังมาแล้วถึง 6 Generation
E23
1977-1986
โฉมแรกของ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ถูกเริ่มต้นจากการใช้รูปลักษณ์ของ BMW ในเวลานั้นทุกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าไฟท้าย แต่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น และเพิ่มเติมเทคโนโลยีในขณะนั้นเข้ามา อย่างเช่น การเพิ่มเบรก ABS เข้ามาซึ่งถือเป็นครั้งแรกของค่าย BMW และยังเป็นรุ่นนแรกที่มี On-board Computer หรือไฟแสดงสถานะความผิดปกติต่างๆ ของรถ เพื่อให้เจ้าของรถสามารถนำรถเข้าศูนย์ได้อย่างสะดวกสบาย
E32
1986-1994
ต่อมาในโฉมที่ 2 ยังคงไว้ซึ่งตัวถังที่ใหญ่ที่สุด และอัดเอาเทคโนโลยีสุดล้ำในเวลานั้นเอาไว้ เช่น ระบบช่วงล่างที่ปรับความแข็งได้ด้วยไฟฟ้า ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบการสื่อสารที่มีโทรศัพท์อินทิเกรตมาให้ แถมยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่มีไฟแบบซีนอนในไฟต่ำ
แต่ไฮไลท์ของตัวถังนี้คือ ในปี 1987 ได้มีการผลิตรุ่นพิเศษ BMW 750iL ที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ความจุ 5.0 ลิตร ให้พละกำลัง 300 แรงม้า ถือว่าแรงที่สุด ณ เวลานั้น และยังมีรุ่นย่อยๆ อย่าง 750iL Highline ที่ให้อุปกรณ์ทันสมัยมาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเบาะหลังระบบไฟฟ้า แผงแอร์สำหรับแถวหลัง ชุดม่านไฟฟ้า ที่ถือว่าเป็นออปชั่นหรูหราที่สุดในตอนนั้น
E38
1994-2001
ตัวถังของเจนที่ 3 ได้รับการยกย่องจากแฟนๆ บีเอ็มดับเบิลยูให้เป็นซีรีส์ 7 ที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะมีสัดส่วนของรถที่แม้จะใหญ่แต่ก็ยังดูปราดเปรียวมาก แถมอัปเกรดภายในห้องโดยสารให้สะดวกสบายขึ้นอย่างชัดเจน และเอาเทคโนโลยีเจ๋งๆ มาอัดไว้อีกเช่นเคยอย่าง ระบบ Traction Control System ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ณ เวลานั้น ตามมาด้วยระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ระบบ Adaptive Cruise Control ที่มีรุ่นแรกๆ ในโลก และ Side Airbag ป้องกันศีรษะกระแทกอีกด้วย
ที่สำคัญ BMW 7 Series E38 ถูกฉุดให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกพร้อมกับภาพยนตร์ James Bond 007 ภาค Tomorrow Never Dies ซึ่งทีมสร้างจับเอา BMW 740iL มาเปลี่ยนเป็นรุ่น 750iL แล้วเพิ่มความล้ำด้วยฟังก์ชั่นบังคับรถผ่านมือถือ หรืออีกเรื่องคือ The Transporter ที่เอา 740iL ไปโฉบเฉี่ยวในหนังเช่นกัน
E65/E66/E67/E68
2001-2008
12
เมื่อมีขึ้นต้องมีลง เพราะเจนที่ 4 ได้มาถึงยุคที่ 7 Series ตีกลับกระแสความฮอตตกลง จากการดีไซน์กระจังหน้าออกมาได้เศร้าสุดๆ ด้วยไฟหน้าที่ดูเศร้าหมองเหมือนจะร้องไห้ แถมรูปทรงก็ใหญ่เทอะทะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็กลับมายอมรับกับดีไซน์นี้มากขึ้น เริ่มมองเห็นถึงความโออ่าในความเทอะทะ ความสบายในห้องโดยสาร ใช้วัสดุภายในที่ยอดเยี่ยม ทั้งความล้ำยุคของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ช่วงล่างถุงลมที่ปรับระดับได้อัตโนมัติ ไฟหน้าแบบ Bi Xenon ปรับองศาตามการเลี้ยวและตามน้ำหนักบรรทุก และเป็น BMW รุ่นแรกที่มีระบบควบคุม iDrive รวมการควบคุมภายใต้ปุ่มควบคุมชุดเดียว ที่มาชดเชยให้กับรูปลักษณ์ภายนอกได้ทันท่วงที ทำให้กลับมาผงาดสมกับเป็นพี่ใหญ่ของค่ายได้อีกครั้ง
แต่ต่อมาตัวถังนี้ ก็ยังได้รับการปรับโฉมย่อย LCI ในปี 2005 เอาไฟหน้าที่เศร้าหมองออกไป ให้กลับมาดูสปอร์ตและหรูหราในแบบที่เคยเป็น จนโดยรวมแล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของยอดขายไม่แพ้โฉมก่อนหน้าเลย
F01/F02/F03/F04
2008-2015
16
หมดยุคตัวถัง E มาเป็นตัวถัง F กันบ้าง ซึ่งต้องยอมรับว่าออกแบบมาได้อย่างโมเดิร์นไร้ที่ติ ด้วยดีไซน์เรียบง่าย มีความทันสมัยมากขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ทำให้ได้รับคำชมว่าหรูหรากว่ารุ่นก่อนหน้า และมีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด
F01 และ F02 มีระบบ Integral Active Steering หรือระบบเลี้ยวล้อหลัง ระบบ Night Vision ส่องทัศนวิศัยข้างหน้ายามค่ำคืน มีกล้องฉายภาพรอบตัวรถ เสหมือนมองภาพจากด้านบน 360 องศา Adaptive Cruise Control ที่เพิ่มฟังก์ชั่นขับตามรถคันหน้าได้ด้วย และยังเสริมฟังก์ชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ Xdrive ที่ถูกพัฒนาใน BMW X5 เข้ามาอีก
ไฮไลท์ของตัวถังนี้อยู่ที่ รุ่นย่อย BMW Active Hybrid 7 ที่เป็นครั้งแรกของขุมพลังไฮบริดที่ถูกนำมาใช้ในใน ซีรีส์ 7 โดยเอาเครื่องยนต์ที่แรงสุดๆ อย่าง 750i มาบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเล็ก ที่รวมแล้วให้กำลังสูงถึง 461 แรงม้า ได้แรงบิดมหาศาลที่ 700 นิวตันเมตร
G11/G122
015-ปัจจุบัน
มาถึงเจนเนอเรชั่นสุดท้าย ดังนั้นความยิ่งใหญ่และเทคโนโลยีจึงถูกรีดออกมาอยู่ในเจนนี้ทั้งหมด ด้วยการนำโครงสร้างตัวถัง CLAR หรือ The Cluster Architecture ที่มีการผสมผสานเอาวัสดุน้ำหนักเบา มาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ขนาดของตัวรถไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป มีการอัดเทคโนโลยีเพื่อความสุนทรีย์ในการขับขี่ และเพื่อความสบายของทุกคนในรถ แถมยังเป็น BMW รุ่นแรกที่ใช้กุญแจแบบ Display Key ระบบสั่งงานด้วยท่าทาง หรือ Gester control ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ
และยังเปิดตัว Plug-in Hybrid มาในรุ่น 740Le ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวม 226 แรงม้า และวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆ ได้ราว 40 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังออกรุ่นตัวแรงอย่าง M Performance ในรุ่น BMW M760Li ที่ใช้เครื่องยนต์สุดแรง V12 ความจุ 6.6 ลิตร รีดความแรงได้ 610 แรงม้า นับว่าแรงที่สุดในรถตระกูล M เลยก็ว่าได้
และก็ถึงเวลาของการปรับโฉมย่อยของ BMW 7 Series G11/G12 LCi ที่โดดเด่นด้วยขนาดของกระจังหน้าไตคู่ ที่ใหญ่กว่าเดิม 40% แต่มิติโดยรวมกลับดูคมและโฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นอื่นๆ ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวในไทยไปเป็นเรียบร้อยแล้ว สมฐานะเรือธงของค่าย BMW จริงๆ
เครดิต www.mthai.com