108 – 1009 ทางออกการซ่อมบำรุงรถยนต์
tttttttttttt
t>> รถยนต์กับการซ่อมบำรุงเป็นของคู่กัน หนึ่งปัญหาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เหมือนการรักษาอาการป่วยของคนเรา ซึ่งอาจไม่ได้ต้องการตัวยา จุดเริ่มต้นมาจากไม่มีการรักษาสุขภาพ พักผ่อนไม่เพียงพอ >> รวบรวมปัญหาการซ่อมบำรุงรถยนต์ จะเปลี่ยนหรือซ่อม ถ้าซ่อมได้ก็ช่วยประหยัด เป็นรถคู่ใจที่คุ้มค่า
t
t>> AUDI A4
tUSER : ใช้ออดี้ A4 ปี 1998 ราคาไม่แพง และรถสภาพดีมาก ชอบช่วงล่างที่เกาะถนนดีมาก แต่ระยะหลังนี้เริ่มแสดงอาการผิดปกติให้เห็นบ่อยขึ้น อาการที่พบคือเครื่องยนต์จะมีอาการสะดุดเป็นจังหวะ สังเกตได้จากจังหวะเดินเบารอบเครื่องจะตกวูบๆ ครั้งหรือสองครั้งติดกันแล้วก็หายไป บางครั้งก็มีอาการเร่งไม่ค่อยขึ้น ไม่ทราบว่าจะเกิดปัญหาจากจุดใดได้บ้าง
t
tGM CAR : เป็นเรื่องปกติของรถที่มีอายุมากขึ้น ต้องทำใจบ้างสำหรับการเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยุโรปเมื่ออายุเยอะขึ้น การเสื่อมโทรมก็เริ่มแสดงอาการให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะว่าพื้นฐานของรถกลุ่มนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับใช้งานเมืองร้อนโดยตรง จะมีก็รถรุ่นหลังๆ นับย้อนไปไม่กี่ปีที่มีการออกแบบเพื่อภูมิภาคนี้โดยตรง ตามการเติบโตของตลาดรถยุโรปในภูมิภาคนี้
t
t ปัญหาเดิมๆ ของรถยุโรปในบ้านเราที่พบกันเป็นประจำ โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักจะเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร เพราะความร้อนในห้องเครื่องยนต์จะสูงมากเพราะห้องเครื่องเล็กหรือมีการจัดวางที่ซับซ้อนนั่นเอง แต่ไม่น่าเป็นห่วงนักเนื่องจากมีร้านอะไหล่หลายเจ้านำอะไหล่รถยุโรปมาขายเยอะขึ้น ในราคาไม่สูงนัก โดยเฉพาะอะไหล่พวกช่วงล่าง ตัวถัง แต่ระบบไฟฟ้าและแอร์จะมีบางชิ้นที่ราคาสูงไปหน่อย แต่ถูกกว่าศูนย์เยอะครับ
t
t เมื่อมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นอีกโดยเฉพาะอาการเร่งไม่ขึ้น ต้องสังเกตรอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ และจะเกิดขึ้นกับกรณีใด เช่น การเหยียบคันเร่งแบบปกติเหมือนการใช้งานทั่วไป หรือเกิดเฉพาะเวลาเหยียบคันเร่งสุด (คิกดาวน์) เมื่อต้องการเร่งแซง ถ้าพบว่าเกิดอาการดังกล่าวเฉพาะเวลากดคันเร่งสุดเพื่อเร่งแซงเท่านั้น ให้ลองดูใหม่ด้วยการเร่งความเร็วแบบนิ่มนวลตั้งแต่ออกตัว ค่อยๆ กดคันเร่งอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอเพื่อให้ความเร็วค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป ถ้าทำอย่างนี้แล้วไม่เกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าเซ็นเซอร์ลิ้นเร่งหรือเซ็นเซอร์ลิ้นปากผีเสื้อเสื่อม
t
t เจ้าตัวนี้จะมีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ อยู่ตรงท่อร่วมไอดี จะมีสายไฟอยู่ประมาณ 3-5 เส้น เมื่อมันเสื่อมสภาพมักจะแสดงอาการเวลาที่เรากดคันเร่งแบบฉับพลันเหมือนตอนเร่งแซง ซึ่งกล่อง ECU อาจจะไม่สามารถจับสัญญาณลิ้นเร่งได้อย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้กล่องไม่สั่งจ่ายน้ำมัน หรือบางครั้งระบบป้องกันความเสียหายของเครื่องยนต์จะตัดเข้าสู่โหมด Fail-safe ทันทีเมื่อสัญญาณหลักๆ ขาดช่วงหายไป
t
tttttttttt t
ttttttttt
tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t เมื่อเข้าโหมดนี้ระบบจะสั่งจ่ายน้ำมันมากกว่าปกติเพื่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไม่ให้มีความร้อนสูง ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์มีอาการสะดุด เร่งไม่ขึ้น และลองมองกระจกหลังดูว่ามีควันดำออกมาขณะนั้นด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าชัวร์ คงต้องเปลี่ยนเจ้าเซ็นเซอร์ตัวนี้
t
t แต่ถ้าลองดูแล้วไม่ว่าจะค่อยๆ เร่งหรือเร่งโดยฉับพลันก็เป็นเหมือนกัน ก่อนอื่นต้องลองถอดหัวเทียนออกมาดูก่อนว่าสภาพเป็นอย่างไร นึกดูว่าครั้งสุดท้ายที่เปลี่ยนหัวเทียนนั้นมันนานหรือยัง เพราะหัวเทียนเสื่อมสภาพบางหัวก็ออกอาการสะดุดได้บางจังหวะ
t
t ถอดออกมาดูแล้วสภาพยังดี หัวเทียนเป็นสีนวลดี หรือเพิ่งเปลี่ยนมาได้ไม่นาน ให้ลองตรวจเช็กจานจ่ายหรือตัวส่งสัญญาณรอบเครื่องยนต์ดูนะครับ เพราะเคยเจอเหมือนกันที่ตัวจับสัญญาณมีปัญหา เช่น ตัวเฟืองเกิดบิ่นหรือตัวจับสัญญาณสกปรกเมื่อความเร็วรอบสูงๆ อาจจะทำให้ไม่สามารถจับสัญญาณรอบเครื่องยนต์ได้ ส่งผลให้ระบบสั่งการผิดพลาด อาการเครื่องสะดุดตอนเดินเบาก็อาจมาจากสาเหตุเหล่านี้ได้เช่นกันครับ
t
t อาการอื่นๆ ที่ทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ค่อยขึ้นบางครั้งก็อาจถูกมองข้าม เช่น กรองเบนซินอุดตัน พอน้ำมันไหลไม่สะดวกเครื่องก็เร่งไม่ขึ้น ปั๊มเชื้อเพลิงเริ่มเสื่อมทำให้แรงดันของระบบเชื้อเพลิงต่ำก็เร่งไม่ขึ้นเช่นกัน
t
tUSER : อาจจะเป็นที่หัวฉีดเสื่อมเป็นได้ไหม
t
tGM CAR : กรณีหัวฉีดอุดตันหรือเสื่อมสภาพจะสังเกตง่ายหน่อย เพราะเวลาเดินเบาจะมีกลิ่นน้ำมันเหม็นออกปลายท่อไอเสียด้วย และมีอาการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ แต่อาการจะไม่ค่อยเหมือนกับระบบไฟฟ้าบกพร่อง
t
t ถ้ามีอาการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ และมีกลิ่นเหม็นน้ำมันที่ปลายท่อด้วย ก็อาจเป็นได้ที่ระบบหัวฉีดหรือระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอาจบกพร่อง ลองเอานิ้วไปป้ายดูที่ปลายท่อไอเสีย ถ้าพบว่าในท่อมีคราบเขม่าดำหรือแฉะ อาจเป็นได้ที่เชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่หมด อันเนื่องจากหัวฉีดเสื่อมสภาพ จ่ายน้ำมันไม่เป็นฝอยเหมือนเดิม หรืออาจเป็นเพราะปั๊มเชื้อเพลิงเสื่อมสภาพไม่สามารถจ่ายได้ตามความต้องการของเครื่องยนต์ ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้นหรือสะดุดในช่วงรอบสูงๆ ด้วย
t
t ต้องลองตรวจเช็กแรงดันน้ำมันเบนซินในระบบ ดูว่าแรงดันตอนเดินเบาและรอบสูงอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ถ้าเช็กแล้วปรากฏว่าปกติก็อย่าเพิ่งนอนใจ เพราะบางครั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเรียกกันติดปากว่าปั๊มติ๊กนั่นแหละ บางครั้งมันจะออกอาการเฉพาะตอนติดเครื่องไว้นานๆ จนตัวปั๊มเริ่มร้อน ประสิทธิภาพในการทำงานมันก็จะลดลง ดังนั้นต้องลองติดเครื่องเอาไว้สักพักหนึ่งด้วย เพราะเคยเจอเหมือนกันที่แรงดันตกหลังจากติดเครื่องไว้พักใหญ่ก็มี
t
t บางกรณีที่เจอคือเรกูเลเตอร์ที่ทำหน้าที่รักษาแรงดันในรางหัวฉีดนั้นเสื่อมสภาพ ไม่สามารถกักเก็บแรงดันได้ตามกำหนด โดยเฉพาะช่วงรอบเครื่องยนต์สูงๆ
t
t ส่วนหัวฉีดนั้น ถ้ามันมีปัญหาสกปรกหรืออุดตันก็จะแสดงอาการออกมาบ้าง มันจะแสดงอาการทั้งขณะเดินเบาก็ไม่นิ่ง เวลาเร่งเครื่องก็สะดุดๆ ไม่ราบเรียบ รถอายุเริ่มเยอะก็ต้องตรวจเช็กให้ละเอียดรอบคอบขึ้น
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
tUSER : มีกลิ่นเหม็นไหม้มาจากห้องเครื่อง แต่เพิ่งเคยเกิดครั้งเดียวไม่สามารถหาต้นตอได้ แต่เครื่องยนต์ทำงานได้ตามปกติ ไม่ทราบมีจากสาเหตุใดได้บ้าง
t
tGM CAR : ถ้ามีครั้งเดียวก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเครื่องยนต์ เคยเจอกรณีถุงพลาสติกปลิวเข้าใต้ห้องเครื่องแล้วไปโดนกับท่อไอเสียร้อนๆ พลาสติกไหม้แล้วส่งกลิ่นเหม็นก็มี
t
t ถ้าเจอกรณีนี้ให้รีบจอดรถเข้าข้างทางที่ปลอดภัย แล้วรีบตรวจสอบทันทีจะทราบได้ว่าเกิดจากการลัดวงจรหรือถุงพลาสติกมาติดท่อไอเสีย กรณีเหม็นไหม้แบบนี้ต้องตรวจเช็กให้ละเอียด
t
tUSER : อีกปัญหาคือเรื่องของยางมีการสึกหรอเป็นบั้งๆ ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
t
tGM CAR : อาการกินยางเป็นบั้งๆ ต้องตรวจเช็กหลายจุด อย่างแรกต้องเช็กให้ละเอียดก่อนว่าการสึกเป็นบั้งๆ ว่าสึกแบบใด เช่น สึกไปในทิศทางเดียวแบบคมเลื่อย หรือการสึกเป็นบั้งๆ ด้านใดด้านหนึ่งสลับฟันปลา หรือสึกเป็นบั้งๆ สลับระหว่างร่องดอกยางด้านนอกและด้านใน
t
t มีตัวการอยู่หลายจุดด้วยกัน สิ่งแรกที่ต้องตรวจเช็กคือสภาพการทำงานของโช้กอัพว่ายังมีประสิทธิภาพดีอยู่หรือไม่ ลองจับความรู้สึกดูว่าเวลาเข้าโค้งหรือขึ้น-ลงสะพานนั้น การทรงตัวยังมั่นคงดีอยู่หรือเปล่า
t
t การตรวจเช็กละเอียดคือการกดขย่มที่มุมรถทั้งสี่ด้าน กดขย่มขึ้น-ลงหลายๆ ครั้งในจังหวะสุดท้ายที่กดสุดให้ปล่อยมือทันที แล้วสังเกตดูว่าจังหวะที่ตัวรถค่อยๆ คืนตัวนั้นหยุดสนิทในครั้งเดียวหรือไม่ ถ้ามีอาการเด้งยวบยาบต่อเนื่องแสดงว่าโช้กอัพเสื่อมสภาพ หรือแข็งจนกดไม่ลงก็แสดงว่าโช้กอัพตาย เวลาที่รถวิ่งด้วยความเร็วจะทำให้ล้อเต้นขึ้น-ลงตลอด จึงทำให้กินยางเป็นบั้งๆ
t
t อาการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกปืนล้อหลวม บูชยางแตก มุมล้อผิดเพี้ยน หรือแม้แต่ปีกนกหรือแกนโช้กคดก็ทำให้เกิดอาการยางสึกเป็นบั้งได้เหมือนกัน รถใช้งานมานานๆ ต้องตรวจเช็กให้ละเอียด
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t>> VOLVO S70
tUSER : ขับๆ ไปก็ดับซะเฉยๆ ให้อู่ตรวจเช็กแล้วก็ยังหาสาเหตุไม่พบ
t
tGM CAR : มีหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องของเซ็นเซอร์ต่างๆ มักจะก่อปัญหาให้เห็นบ่อย อย่างการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน เพราะเซ็นเซอร์บางตัวนั้นจะอยู่ในตำแหน่งที่อับ
t
t ยกตัวอย่างเช่นเซ็นเซอร์เพลาข้อเหวี่ยง บางรุ่นอยู่ที่ข้อเหวี่ยงด้านล่าง บางรุ่นก็อยู่ในจานจ่าย หน้าที่ของเซ็นเซอร์ตัวนี้คือส่งสัญญาณไปยังกล่องควบคุม เพื่อกล่องจะสั่งฉีดน้ำมันตามจังหวะที่เหมาะสม กรณีเซ็นเซอร์เสื่อมสภาพไม่สามารถส่งสัญญาณได้ กล่องจะไม่ทราบตำแหน่งลูกสูบว่าอยู่ในตำแหน่งใด จึงไม่มีการสั่งจ่ายน้ำมัน เครื่องยนต์ก็ดับ
t
t อีกตัวหนึ่งที่พบได้ ลักษณะคล้ายกันคือคอยล์จุดระเบิด อาการเสื่อมสภาพจากความร้อนเช่นกัน ชิ้นส่วนที่ว่ามักอยู่ในบริเวณที่มีความร้อนสะสมสูง สังเกตง่ายๆ ถ้าขับต่อเนื่องมาสักพักใหญ่ๆ แล้วเครื่องดับ จอดพักสักครู่แล้วก็ติด โอกาสเป็นไปได้สูง
t
tUSER : ชอบรถที่แข็งแรง ช่วงล่างมั่นคง แต่เริ่มเบื่อเรื่องความจุกจิก
t
tGM CAR : รถยุโรปขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแรงปลอดภัย รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพในการทรงตัว การบังคับควบคุม และระบบเบรกที่เหนือกว่า ข้อเสียคือเรื่องของความจุกจิกในการใช้งานเมื่อเวลาผ่านไปสัก 4-5 ปี
t
t การออกแบบเน้นการเก็บงานเรียบร้อย สายไฟหรือเซ็นเซอร์ต่างๆ มักจะถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดี ความร้อนชื้นของบ้านเราสูงมาก ทำให้ระบบไฟฟ้าของรถยุโรปรวนได้ง่ายๆ เรื่องของเครื่องยนต์หรือระบบอื่นๆ นั้นไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก รถอายุขนาดนี้มักจะเป็นเรื่องของระบบไฟฟ้าอย่างที่กล่าวไป
t
t สิ่งที่พบบ่อยสำหรับรถรุ่นนี้ที่ใช้งานมาราวแสนกิโลเมตรกลางๆ คือเรื่องระบบเกียร์มีการสึกหรอตามอายุ ยกเกียร์ครั้งหนึ่งก็ต้องมี 20,000-30,000 บาท แต่ถ้าเทียบกับรถญี่ปุ่นระดับเดียวกันแล้วมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t>> CHECK ENGINE
tUSER : รถติดแก๊สมีไฟ Check Engine ขึ้นอยู่เป็นประจำ ไม่ทราบว่าสาเหตุที่ไฟ Check Engine ขึ้นมาจากอะไร และสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
t
tGM CAR : ถ้าในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่ได้รับการปรับอัตราส่วนผสมของแก๊สกับอากาศให้เหมาะสมนั้น ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีการวัดค่าไอเสียจะส่งผลให้เครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้น ค่ามลพิษที่ปล่อยออกมาทางท่อไอเสียผิดปกติ ส่งผลให้มีไฟ Check Engine ปรากฏที่หน้าปัดรถเพื่อบอกเราว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ ถ้าหากเราปล่อยไว้นานจะส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติ
t
t การแก้ปัญหาดังกล่าวในอดีต ช่างที่ติดตั้งระบบมิกเซอร์และระบบหัวฉีดบางแบรนด์ที่โปรแกรมไม่สามารถแก้ไขอัตราส่วนผสมได้ละเอียดมากนัก จะใช้วิธีการตัดสายไฟที่หน้าปัดเพื่อไม่ให้ไฟ Check Engine แสดงขณะรถใช้แก๊ส แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
t
t การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการปรับอัตราส่วนผสมของแก๊สกับอากาศให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมในทุกสภาวะการขับขี่ มีโปรแกรมช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับอัตราส่วนผสมให้พอดีกับทุกสภาวะการขับขี่ และยังช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ตามปกติ มีอัตราเร่งใกล้เคียงกับรถที่ใช้น้ำมันมากที่สุด โดยมีฟังก์ชันที่ติดตั้งการต่ออุปกรณ์วัดแรงดันเพิ่มเข้าไปอีกตัวหนึ่ง เมื่อโปรแกรมทำการปรับแก้ระยะเวลาในการจ่ายแก๊สแล้ว เครื่องยนต์จะได้รับอัตราส่วนผสมที่พอดีและไม่ปรากฏไฟ Check Engine ขึ้นมารบกวนอีกต่อไป
t
t>> FORD LASER
tUSER : ฟอร์ด เลเซอร์ รุ่นปี 2000 เครื่อง 1,600 ซีซี เกียร์ออโต้ รถวิ่งมา 51,000 กิโลเมตร เวลาขับมาแล้วเบรกจะรู้สึกว่าเครื่องยนต์สั่นๆ จะดับเอาง่ายๆ บางครั้งก็ดับดื้อๆ รวมถึงเวลาเร่งเครื่องบางจังหวะก็มีอาการเหมือนเร่งไม่ออก เอาเข้าศูนย์ฯแล้วช่างบอกว่าเป็นที่คอมฯแอร์ล็อกจากข้างใน
t
tGM CAR : ตามปกติแล้วอาการอย่างที่ว่ามันก็น่าจะเป็นไปได้เหมือนกัน แต่รถอายุเท่านี้ไม่น่าเกิดอาการเช่นนี้ได้ง่ายๆ แต่ลองดูได้ไม่ยากเย็นนัก ลองขับดูแล้วกดตัดระบบ A/C หรือระบบการทำงานของแอร์ แล้วลองวิ่งดูว่ายังเกิดอาการเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าไม่เกี่ยวกับระบบแอร์ อาการที่เจอบ่อยเกิดจากตัวคุมรอบเดินเบาสกปรกหรือไม่ก็คอยล์จุดระเบิดเสื่อม ในรุ่นนี้มีคอยล์สองตัว อาจจะเกิดเสื่อมได้ ซึ่งพบได้บ่อยในรถอายุประมาณนี้
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t>> ยางหุ้มเพลาแท้หรือเทียม
tUSER : ฮอนด้า ซีวิค รุ่นตาโต ใช้ขับไปเรียน ไม่ได้แต่ง ไม่ทำอะไร ตอนนี้มีปัญหาอยู่ว่าลูกปืนล้อหน้าเริ่มดังแล้ว และช่างบอกว่ายางหุ้มเพลาใกล้หมดอายุ ไม่ทราบว่าจะซ่อมอย่างไรดีให้ประหยัดเงิน
t
tGM CAR : ถ้าต้องการซ่อมแบบประหยัดๆ ก็พอมีทาง แต่ว่าบางอย่างก็ควรประหยัด บางอย่างก็ไม่ควรประหยัด สำหรับเรื่องของลูกปืนล้อนั้นสามารถเปลี่ยนเฉพาะล้อที่ดังได้ แต่ไหนๆ ถ้าจะเปลี่ยนแล้วบรรดาล้อที่เหลือควรถอดออกมาเปลี่ยนจาระบีใหม่ไปด้วยเลย เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานของลูกปืนล้อไปได้อีกนาน อันที่จริงถ้าเปลี่ยนจาระบีตามระยะที่เหมาะสม สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของลูกปืนได้ เพียงแต่เจ้าของรถส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ รอจนมันดังจึงค่อยทำค่อยเปลี่ยนกันที
t
t ส่วนเรื่องของยางหุ้มเพลานั้นต้องทำพร้อมๆ กันไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้ๆ กัน ค่าแรงโดยรวมจะได้ถูกลงมาหน่อย สิ่งสำคัญคือเรื่องของยางหุ้มเพลา อย่าไปเสียน้อยเสียยากเพราะเห็นแก่ของถูก มียางหุ้มเพลาหลายยี่ห้อมาก กรณีนี้ควรเปลี่ยนของแท้จะคุ้มค่ากว่า เพราะอายุการใช้งานนานกว่าหลายเท่าตัว
t
t ลองสังเกตยางหุ้มเพลาติดรถดูก็ได้ กว่าจะขาดอย่างน้อยๆ ก็ 4-5 ปีหรือใช้ไปแล้วเป็นแสนกิโลเมตร (กรณีที่ขับขี่ปกติ) ส่วนของถูกเท่าที่เห็นก็ตามราคา ยิ่งถูกยิ่งอายุสั้น บางทีไม่ถึงปีก็ขาดแล้ว และเวลาเปลี่ยนทีมันต้องเสียทั้งค่าแรง ค่าจาระบีใหม่อีก รวมๆ เงินรอบสองเข้าไปด้วยแล้วก็พอๆ กับเปลี่ยนของแท้ ยอมเปลี่ยนแพงแต่ไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาสองต่อ คุ้มค่ากว่ากันเยอะ ต้องหมั่นตรวจสอบยางหุ้มเพลา อย่าปล่อยปละละเลย เพราะจะทำให้หัวเพลาเสียหายก่อนเวลาอันควร ที่สำคัญซ่อมแพงมาก
t
tUSER : เวลารถจอดติดนานๆ รู้สึกว่ารอบเครื่องยนต์จะสะดุด ดูจากเข็มวัดรอบจะเห็นว่ามันตกวูบลงมาแล้วกระตุกกลับไปที่เดิม จะมีอาการเป็นระยะๆ นานๆ ครั้ง และรู้สึกว่าเครื่องก็มีอาการกระตุกตามด้วย
t
tGM CAR : กรณีนี้ที่พบบ่อยคืออาการของหัวเทียนเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งจะเป็นเฉพาะบางหัวเท่านั้น ลองนึกดูว่าครั้งสุดท้ายที่เปลี่ยนหัวเทียนไปนั้นมันนานขนาดไหนแล้ว ถ้าใช้มามากกว่า 40,000 กิโลเมตร โอกาสที่จะเป็นจากสาเหตุนี้ ถือโอกาสเปลี่ยนทั้งสี่หัวพร้อมกัน
t
t ถ้าอายุการใช้งานยังไม่ถึง ควรถอดออกมาดูสภาพว่าเป็นอย่างไร ระวังอย่าเรียงสลับสูบกัน พิจารณาสภาพดูแต่ละหัวว่าเป็นอย่างไร บางครั้งระยะห่างของเขี้ยวหัวเทียนไม่เท่ากันก็มีผลในการทำงาน ต้องปรับตั้งระยะห่างให้ถูกต้องเหมาะสมตามคู่มือด้วย ซึ่งช่างบางคนจะละเลยการตั้งระยะห่างเขี้ยวหัวเทียน แม้จะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันมีผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ด้วยเหมือนกัน แม้จะไม่มากมายหรือรุนแรงนักแต่อาจมีผลเล็กๆ น้อยๆ เป็นอาการน่ารำคาญมากกว่า
t
t ถ้าเปลี่ยนหรือถอดออกมาตรวจเช็กแล้วพบว่าปกติ อาจจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเสียเงินอีกก้อนในอนาคตอันใกล้ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนจากอาการคอยล์จุดระเบิดเริ่มเสื่อมสภาพ อาการเริ่มแรกที่พบได้บ่อยคืออาการกระตุกเป็นจังหวะมาแบบตึ๊กเดียวหาย ทิ้งช่วงสักพักใหญ่แล้วก็เป็นอีก อาการนี้จะเป็นค่อนข้างนานหน่อย บางครั้งก็ 2-3 เดือนกว่าจะแสดงอาการจริง
t
t อาการจริงที่ว่าคือขับมาดีๆ แล้วดับ หรือพอจอดดับเครื่องแล้วต้องการสตาร์ทเครื่องใหม่ทันที จะรู้สึกว่าเครื่องจะติดยากขึ้นต้องบิดกุญแจแช่นานกว่าปกติ แต่สตาร์ทตอนเครื่องเย็นๆ จะไม่เป็น สองอาการนี้จะเป็นนานๆ ครั้ง แต่ทิ้งช่วงห่างกันไม่นาน แต่ถ้าเริ่มเป็นถี่ขึ้นควรรีบเข้าไปเปลี่ยนเพราะขั้นรุนแรงคือจะสตาร์ทไม่ติดอีกเลย
t
t แต่โชคดีหน่อยครับที่คอยล์ของรุ่นนี้จะเปลี่ยนเฉพาะลูกคอยล์ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งจานจ่ายเหมือนกับยี่ห้ออื่นๆ เปลี่ยนของใหม่โดยไม่ต้องไปคิดถึงของเก่า เพราะของอายุการใช้งานไม่แน่นอน รวมทั้งเสี่ยงต่อการเสียเงินฟรีในช่วงเวลาไม่นาน
t
tUSER : ตัวพวงมาลัย มันสึกจนหลุดออกมาเป็นขุยๆ ติดมือน่ารำคาญมาก เคยไปหาดูของมือสองเจอแต่สภาพไม่ค่อยดี และสีก็ไม่ค่อยเหมือนกัน
t
tGM CAR : เป็นเรื่องปกติของพวงมาลัยแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนที่มีเหงื่อออกมาก พวงมาลัยมันจะสึกจนน่าเกลียด ถ้าหาซื้อพวงมาลัยเก่าสภาพดีๆ ไม่ได้ แนะนำให้เอาไปหุ้มหนังใหม่ต้องเป็นหนังแท้เกรดสำหรับพวงมาลัย เพราะจะทนทานต่อการกัดกร่อนและเสียดสี เลือกสีที่เข้ากับโทนของคอนโซลและเบาะก็จะช่วยให้ดูดีขึ้น
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t>> MERCEDES-BENZ C220
tUSER : ซื้อรถมือสอง C220 มาหนึ่งคัน ใช้มา 3-4 เดือนเริ่มมีปัญหาให้เห็น เริ่มสตาร์ทยากขึ้น ต้องสตาร์ทกันยาวๆ กว่าจะติด แต่เสียงเครื่องยนต์ก็เหมือนจะติดดีเช่นเดียวกับตอนที่ได้มาใหม่ๆ ไม่ทราบว่าปัญหามาจากจุดใด
t
tGM CAR : เรื่องสตาร์ทติดยาก ต้องสตาร์ทกันยาวๆ มีได้ 2-3 สาเหตุด้วยกัน อย่างแรกที่พบบ่อยคือปัญหาเรื่องของแรงดันน้ำมันที่รางหัวฉีดไม่กักเก็บแรงดันไว้
t
t โดยปกติแล้วที่รางหัวฉีดจะมีเรกูเลเตอร์สำหรับรักษาแรงดันของน้ำมันในรางหัวฉีดเอาไว้ราว 5-8 ปอนด์ เพื่อให้การสตาร์ทครั้งต่อไปสามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอให้ปั๊มเชื้อเพลิงสร้างแรงดันก่อน กรณีที่เรกูเลเตอร์เสื่อม ไม่กักเก็บแรงดันทำให้ต้องสตาร์ทกันยาวกว่าปกติ ต้องใช้เกจ์วัดแรงดันติดตั้งเข้าไปที่รางหัวฉีดเพื่อวัดแรงดันจึงจะวิเคราะห์สาเหตุได้ง่ายขึ้น อาการนี้จะเกิดขึ้นหลังจากจอดรถทิ้งไว้หลายๆ ชั่วโมง
t
t กรณีต่อมาที่น่าจะเป็นไปได้คือองศาจุดระเบิดเพี้ยนไป ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สตาร์ทติดยากได้เหมือนกัน กรณีนี้ต้องใช้ไทมิ่งไลท์ส่องเพื่อเช็กและปรับตั้งองศาใหม่ บางครั้งที่เจอตัวทริกเกอร์เซ็นเซอร์ที่บอกตำแหน่งองศาข้อเหวี่ยงสกปรกอันเนื่องมาจากน้ำมันเครื่องรั่วซึมเข้าไปในจานจ่าย ก็เป็นสาเหตุให้จับสัญญาณยากและมีผลทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากเช่นกัน รุ่นนี้มีปัญหาเฉพาะตัวอยู่สองสาเหตุคือ ชุดสายไฟที่มักจะก่อปัญหาและออกอาการเดียวกับคอยล์เสื่อม ก็ต้องเช็กมากเป็นพิเศษ
t
t กรณีต่อมาถ้าสตาร์ทติดยากทั้งที่จอดรถไว้ไม่นาน แบบนี้อาจเป็นเพราะคอยล์จุดระเบิดเริ่มเสื่อมสภาพ ถ้าเริ่มมีอาการขับๆ อยู่แล้วดับ พอสตาร์ทก็ติดใหม่เป็นปกติ แต่ต้องสตาร์ทยาว แบบนี้ชัวร์เลยว่าเป็นเพราะคอยล์ใกล้กลับบ้านเก่าให้รีบเปลี่ยนโดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นหลังจากดับแล้วอาจจะสตาร์ทไม่ติดอีกเลย
t
tUSER : ตอนนี้พบว่าน้ำมันเครื่องซึมตามจุดต่างๆ ในห้องเครื่อง รวมทั้งเริ่มหยดลงที่พื้นเล็กน้อย ไม่ทราบว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตรายหรือไม่
t
tGM CAR : รถมือสองซื้อมาแล้วต้องมีการซ่อมแซมกันเป็นธรรมดา การซ่อมแซมที่เห็นว่าจุกจิกนั้นส่วนมากซ่อมหรือเปลี่ยนแล้วมันก็จบสามารถใช้งานได้อีกนาน รถใหม่ๆ บางทีก็มีปัญหาจุกจิกเหมือนกัน
t
t การตรวจเช็กง่ายๆ คือจอดในตำแหน่งเดิมที่จอดเป็นประจำ เพื่อเทียบหาตำแหน่งที่ต้องทำการตรวจให้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะเปิดฝากระโปรงเพื่อตรวจหาร่องรอยการรั่วซึม
t
t จุดแรกที่ต้องดูคือบริเวณที่ใกล้เคียงกับจุดที่น้ำมันหยดลงไป แล้วค่อยไล่เช็กสูงขึ้นมาว่าเกิดจากชิ้นส่วนใด แต่บางครั้งก็ไม่สามารถนำทฤษฎีนี้ไปใช้ได้ ถ้าน้ำมันรั่วลงไปตรงคานหน้าหรือแผ่นปิดใต้ห้องเครื่อง เพราะน้ำมันมันจะไหลไปรวมตัวกันตามบริเวณดังกล่าวจนมีบริมาณมากๆ กว่าจะหยดลงบนพื้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สามารถตรวจเช็กได้จากฝาสูบลงไป จุดแรกที่ต้องดูคือบริเวณจานจ่าย ปัญหาที่พบบ่อยคือโอริงหรือซีลกันน้ำมันระหว่างจานจ่ายและฝาสูบเสื่อมสภาพ ทำให้น้ำมันเกิดการรั่วซึมออกมา การเสื่อมสภาพตรงจุดนี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะเป็นคราบน้ำมันไหลเยิ้มลงไปถึงด้านล่าง
t
t ต่อมาก็เป็นปะเก็นฝาครอบวาล์วว่ามีร่องรอยการรั่วซึมหรือไม่ จากนั้นก็ตรวจสอบที่รอยต่อระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์ ว่ามีคราบน้ำมันซึมออกมาหรือเปล่า เพราะไม่แน่ว่าซีลท้ายเครื่องและซีลเกียร์จะรั่วหรือไม่ หรืออาจจะรั่วทั้งสองอย่างก็ได้
t
t รวมทั้งบริเวณพูเล่ย์หน้าเครื่องด้วย เพราะจะมีซีลกันน้ำมันเหมือนกัน ถ้าเป็นการรั่วจากซีลท้ายเครื่อง หน้าเครื่อง หรือซีลเกียร์ การแก้ไขก็ต้องรื้อออกมาเปลี่ยนสถานเดียว และเมื่อรื้อออกมาแล้วก็ควรจะเปลี่ยนพร้อมกันไปเลย ถึงแม้ว่ารั่วเพียงตัวเดียวก็เปลี่ยนเลยจะได้ไม่ต้องเสียค่าแรงหลายต่อ
t
t จุดต่อมาที่ต้องตรวจสอบคือท่อทางเดินของออยล์คูลเลอร์เกียร์อัตโนมัติ และท่อทางเดินของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ ส่วนที่เป็นท่อยางหรือข้อต่อเกิดการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ท่อทางหรือซีลเริ่มบวมและเปื่อยยุ่ย ตรงจุดนี้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ในการซ่อม ค่าใช้จ่ายก็ต่ำหน่อย เพียงแต่ในขั้นตอนการตรวจสอบนั้นต้องทำการตรวจเช็กให้ละเอียด ถ้ามีหลายจุดที่ต้องเปลี่ยนก็ลองเช็กค่าใช้จ่ายดูก่อนแล้วค่อยทยอยทำไปทีละส่วน เช่น ซ่อมระบบทางเดินน้ำมันเกียร์และพวงมาลัยเพาเวอร์พร้อมกัน แล้วค่อยเปลี่ยนซีลหน้าเครื่อง ท้ายเครื่อง และซีลเกียร์ เป็นการประหยัดค่าแรงได้ทางหนึ่ง
t
t การซ่อมแซมจุดต่างๆ เหล่านี้ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับอาการ แต่ถ้าเปลี่ยนหมดแล้วก็ใช้งานได้อีกนาน มันไม่ได้ร้ายแรงถึงกับต้องขายทิ้ง เพียงแต่เรื่องของอะไหล่นั้น ต้องเลือกอะไหล่แท้จึงจะมีอายุการใช้งานที่เทียบเคียงของเดิม ส่วนใหญ่ก็จะใช้ได้มากกว่า 3-4 ปีขึ้นไป
t
tUSER : เวลารถจอดอยู่กับที่รู้สึกว่าคันเกียร์สั่นมากๆ เท่าที่ดูในห้องเครื่อง ตัวเครื่องยนต์เองก็ไม่สั่นเท่าไหร่
t
tGM CAR : ปัญหานี้ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่ถ้าเครื่องไม่สั่นมากจนตัวรถสั่นสะท้าน สาเหตุที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะบูชคันเกียร์แตก ในรุ่นนี้จะเจอบ่อย บูชตัวหนึ่งราคาถูกมากๆ สำหรับของแท้เบิกศูนย์ฯ
t
tUSER : อีกปัญหาคือกระจกไฟฟ้าด้านคนขับฝืดมาก ไม่ทราบว่าสามารถแก้ไขได้หรือเปล่า หรือว่าต้องเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่
t
tGM CAR : ต้องรื้อแผงประตูออกมาตรวจเช็ก เนื่องจากรางกระจกนั้นต้องมีการหล่อลื่นด้วยจาระบี บางทีจาระบีมันแห้งไปอันนี้ก็ไม่ยาก ป้ายเพิ่มเข้าไปก็ดีขึ้นแล้ว
t
t อีกจุดที่ต้องเช็กคือบูชรางกระจกว่าแตกหรือเปล่า ถ้าแตกก็จะทำให้การเลื่อนขึ้น-ลง ฝืดเช่นกัน เปลี่ยนใหม่ราคาไม่กี่สตางค์ ส่วนมอเตอร์น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องดู เพราะมันไม่ได้เสียกันได้ง่ายๆ
t
tUSER : คิดว่าควรจะซ่อมหรือขายดีสำหรับรถคันนี้ เพราะถ้าซ่อมแล้วเกรงว่าระยะยาวจะบานปลาย
t
tGM CAR : สำหรับรถรุ่นนี้ ถ้ามีเฉพาะรายการอย่างที่กล่าวว่ามันก็คุ้มค่าที่จะซ่อม เพราะรถยุโรปนั้น เรื่องของความแข็งแรงปลอดภัยมันน่าใช้กว่าเยอะ นอกเสียจากว่าเครื่องยนต์เริ่มออกอาการไม่ดี ถ้าต้องมีการเปิดฝาสูบหรือยกเครื่อง ยกเกียร์ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน มันค่อยน่าคิด แต่ถ้าทยอยซ่อมก็สามารถใช้งานได้อีกยาวนานทีเดียว
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt
tttttttttttt
t
tttttttttt t
ttttttttt tttttttttt ttttttttt tt tttttttttttt
t>> NISSAN CEFIRO
tUSER : นิสสัน เซฟิโร ขับหน้ารุ่นแรก เครื่องยนต์เคยโอเวอร์ฮีตจนน็อกดับ ซ่อมมาแล้วยังมีปัญหาตามมาไม่หยุด เลยคิดว่าจะเปลี่ยนเครื่องใหม่เพื่อตัดปัญหา เครื่องเดิมเป็นเครื่อง 2,000 ซีซี
t
tGM CAR : สำหรับเครื่องที่เคยซ่อมหนัก เช่น ปาดฝาสูบ หรือเสื้อสูบมาแล้ว มักจะไม่ค่อยมีอาการเหมือนเดิมนัก ถ้ามันค่อนข้างจุกจิก การเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี ลองคำนวณดูว่าเครื่องเดิมถ้าต้องซ่อมเกินกว่า 30,000 บาท เปลี่ยนเครื่องใหม่ดีกว่า โดยหาซื้อเครื่องบล็อกเดิมมาเปลี่ยนจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการดัดแปลงและค่าใช้จ่ายจุกจิกที่จะตามมา
t
t>> HONDA ACCORD
tUSER : ปัญหาแรกคือเรื่องของระบบเกียร์ แอคคอร์ด รุ่นปี 2001 วิ่งมาประมาณ 1.6 แสนกิโลเมตรแล้ว เวลาออกตัวเร่งแล้วรถไม่ค่อยจะวิ่งเหมือนก่อน เร่งแล้วต้องใช้เวลานิดหนึ่งก่อนเกียร์จะเข้า รู้สึกได้ว่ารถกระตุกก่อนที่จะออกตัว น้ำมันเกียร์ก็เปลี่ยนก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าปัญหาเกิดจากอะไรได้บ้าง
t
tGM CAR : ถ้าวิ่งมาขนาดนี้แล้วและยังไม่เคยซ่อมเกียร์มาก่อน แสดงว่าปัญหาน่าจะมาจากแผ่นคลัตช์ของชุดเกียร์ 1 น่าจะใกล้หมดเต็มที เพราะเกียร์นี้ผ้าคลัตช์ต้องทำงานหนักมาก เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ต้องรองรับทอร์คแบบเต็มๆ ตลอด
t
t การแก้ไขก็ไม่ยากครับ ต้องรื้อเกียร์ออกมาแล้วจะเห็นถึงความเสียหาย ลองสำรวจดูว่ามีผ้าคลัตช์ชุดไหนสึกบ้าง เปลี่ยนผ้าคลัตช์แล้วก็เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ด้วยเลย เพราะกรองเกียร์ก็น่าจะเริ่มตันแล้ว
t
t เปลี่ยนเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 เท่านั้น เพราะเกียร์ 3 และ 4 จะไม่ค่อยสึกเท่าไหร่ อะไหล่เบิกห้างอย่างเดียว ราคาไม่แพงอย่างที่คิด แต่ถ้าทำในศูนย์ฯ ราคาจะแพงกว่านี้ ถึงจะคุยกันได้ว่าไม่ต้องเปลี่ยนผ้าคลัตช์ทั้งหมด แต่ถ้าเปลี่ยนหมดได้มันก็จะดีกว่า ลองสอบถามศูนย์บริการหรืออู่ที่รับซ่อมเกียร์โดยเฉพาะ เพื่อเปรียบเทียบราคาดู ถ้าต่างกันแค่ 3,000-4,000 บาท ซ่อมศูนย์ฯดีกว่า เพราะมีการรับประกันทั้งอะไหล่และการซ่อมแซม
t
tUSER : ปั๊มเพาเวอร์มีน้ำมันซึม จำได้ว่าเพิ่งซ่อมไปไม่นานมากนัก ตอนนี้เริ่มรั่วออกมาให้เห็นอีกแล้ว
t
tGM CAR : ปัญหานี้เป็นเรื่องปกติ ที่ซ่อมแล้วไม่หายเพราะการซ่อมนั้นจะเป็นชุดปะเก็นและโอริงใหม่ ซึ่งมันเสื่อมตามอายุการใช้งาน แต่ที่รั่วอีกก็เพราะว่าปั๊มจะหมุนทำงานตลอดเวลา มันมีการสึกหรอเกิดขึ้นจากแกนหมุนภายใน แม้จะเปลี่ยนโอริงใหม่ก็ยังมีช่องว่างจากการสึกหรอที่ทำให้น้ำมันเล็ดลอดออกมาได้เหมือนกัน
t
t ถ้าถึงตอนนี้แล้วคงยากที่จะซ่อม ก็มีสองทางเลือกคือไปซื้อของเก่ามาใช้หรือไม่ก็เปลี่ยนใหม่ไปเลยจะดีกว่า
เครดิต www.gmcarmagazine.com