ยาง เพิ่มประสิทธิภาพให้ช่วงล่าง
ทั้งหมดเป็นรูปแบบพื้นฐานของช่วงล่างรถยนต์ที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์จึงเกิดการผสมผสานช่วงล่างแต่ละแบบเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมตั้งชื่อใหม่ให้แตกต่างเพื่อผลทางการตลาด ให้ผู้คนจดจำได้ง่ายว่าระบบช่วงล่างชื่อนี้ต้องเป็นของค่ายไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แค่ดูรูปแบบการทำงานของระบบช่วงล่างก็จะมองออกว่าเป็นระบบช่วงล่างแบบใด
การเลือกซื้อรถนั้นไม่ควรจะใช้ประเด็นเรื่องช่วงล่างมาเป็นเหตุผลหลักๆ มากนัก ถ้าดูคำวิจารณ์ รีวิว หรือความเห็นจากผู้ใช้ เรามักจะเห็นความคิดที่หลากหลายจนบางครั้งทำให้เราเกิดอาการไขว้เขว
การตอบสนองของช่วงล่างรถยนต์นั้นมันก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวที่คนกินแล้วบอกว่าอร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง อย่าไปเชื่อลิ้นคนอื่น เพราะความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน
รถยนต์ก็เช่นกัน คันละ 10 ล้านบาทมันก็ยังมีข้อติ เพราะฉะนั้นเลือกรถที่ชอบ ถ้าเป็นเรื่องของช่วงล่างเราสามารถปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการของเราได้ภายหลัง และมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่หาตัวเองให้เจอว่าชอบการตอบสนองของช่วงล่างสไตล์ไหนเท่านั้นเอง
ช่วงล่าง เมื่อถึงเวลาบางอย่างก็ควรแยกซ่อม บางอย่างก็ควรต้องทำทีเดียวพร้อมๆ กัน กรณีต้องถอดเปลี่ยนยางหุ้มเพลาก็ควรดูพวกซีลเพลาขับไปด้วยเลย และอะไหล่พวกนี้ต้องของแท้เช่นกัน
ส่วนลูกหมากทั้งหลายสามารถเปลี่ยนได้ตามอาการ เว้นแต่ชิ้นที่ถอดแล้วเกี่ยวข้องกับหลายจุดก็ยกเปลี่ยนทีเดียว
โช้กอัพเมื่อถึงอายุถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนทั้งชุด โดยเฉพาะรถที่ใช้งานมา 6-7 ปี หรือวิ่งมากกว่า 1.5 แสนกิโลเมตรขึ้นไป เพราะถ้าเปลี่ยนตัวเดียวหรือคู่เดียวจะทำให้การทรงตัวไม่ค่อยดีนัก เพราะที่เหลือมันก็เสื่อมสภาพเช่นกัน
การแก้ไขให้ได้ช่วงล่างตามที่เราชอบนั้น นอกจากการเปลี่ยนโช้กอัพแล้ว การเลือกยางก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราต้องไม่ลืมว่าขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วนั้น สิ่งที่สัมผัสพื้นถนนก็คือหน้ายางทั้ง 4 ล้อเท่านั้น ทุกวันนี้ยางยังเพิ่มคุณสมบัติทั้งการช่วยประหยัดน้ำมัน การยึดเกาะถนน การรีดน้ำได้ดียิ่งขึ้น
ยางส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับถนนและสภาพอากาศของเมืองไทย ยางบางรุ่นเราอาจจะรู้สึกว่ามันแข็งกระด้างไปนิดหลังจากใช้งานมาระยะหนึ่ง นั่นก็เพราะว่าบ้านเราร้อนและถนนมีสภาพที่หลากหลายมาก ความจำเป็นในการออกแบบที่ให้ยางมีอายุการใช้งานที่นาน คุ้มราคา ทำให้รู้สึกว่ายางแข็งกระด้าง
การเลือกยางมีความสำคัญมาก ส่วนใหญ่มักเลือกยางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น เน้นสมรรถนะ ลายดอกยางสวย เน้นเรื่องราคา
ยางกลุ่มพรีเมียมมีตัวเลือกให้ค่อนข้างเยอะ ยางนุ่ม เงียบ หนึบ ถ้าต้องการยางที่มีความนุ่มเงียบนั้น ต้องเลือกยางในกลุ่ม Comfrot ยางกลุ่มนี้จะเน้นสำหรับรถใช้งานที่ต้องการความนุ่มนวล และเสียงรบกวนต่ำ สังเกตได้จากดอกยางจะเป็นดอกละเอียดๆ หน่อย
การเลือกยางในกลุ่มของรถเก๋งนั้นยังมีแยกย่อยอีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยางที่เน้นความประหยัดน้ำมัน กลุ่มยางสำหรับการใช้งานทั่วไป กลุ่มยางซูเปอร์คาร์
กลุ่มยางสำหรับรถสมรรถนะสูง ยังมีแยกย่อยอีกหลายลักษณะด้วยกัน เช่น สำหรับรถซีดานที่เน้นความนุ่มเงียบ ยางสำหรับรถซีดานที่เน้นสมรรถนะแต่ก็ยังมีความนุ่มเงียบอยู่
ยางสมรรถนะสูงเหมาะสำหรับใช้ความเร็ว ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของรถ กำลังเครื่องยนต์และลักษณะการขับขี่ ดอกยางจะเป็นบั้งใหญ่ แก้มยางก็จะแข็งกว่า ดังนั้นเรื่องของความนุ่มนวลจะไม่โดดเด่นนัก เสียงรบกวนก็จะค่อนข้างมากหน่อย
เรื่องความนุ่มนั้นนอกจากเป็นคุณสมบัติพิเศษของตัวยางเองแล้ว การเลือกซีรีส์ของยางก็มีความจำเป็นเช่นกัน
เนื้อที่แก้มยางเยอะเพียงพอที่จะให้ความนุ่มนวลอยู่แล้ว ยางที่มีตัวเลขซีรีส์มากก็จะมีพื้นที่แก้มยางมาก ความนุ่มนวลก็มากเป็นธรรมดา
แต่รถในปัจจุบันนั้นเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพการขับขี่ รถยนต์นั่งจึงหันมาใช้ล้อเส้นผ่านศูนย์กลางสูงขึ้น จาก 13-14 มาเป็น 15-17 นิ้ว
ส่วนซีรีส์ของยางจากเดิมที่เคยใช้ราว 60-75 ถูกลดลงมาเหลือราว 50-55 เพราะต้องการประสิทธิภาพในการทรงตัวมากขึ้น เมื่อเปลี่ยนยางแล้วควรตรวจเช็กสภาพช่วงล่างประกอบกันด้วย
วันนี้รถยนต์ขับง่ายขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รถยนต์ยุคนั้นมีระบบช่วงการทรงตัวหรือระบบความปลอดภัยน้อยมาก คนที่มีทักษะหน่อยก็จะรู้ถึงอาการของตัวรถว่าเกิดอาการอะไร แล้วต้องแก้อย่างไร
แต่รถยนต์ในวันนี้ ต้องการให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย และง่าย ไม่ต้องมีทักษะมาก อุบัติเหตุจากการควบคุมรถไม่ได้จึงลดลงมาก อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนั่นเอง
DID YOU KNOW?
++ หลังจากเปลี่ยนยางใหม่ควรใช้ความเร็วไม่สูงมาก ประมาณ 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ยางเกิดการสึกหรอที่สม่ำเสมอ และให้หน้ายางสึกหรอเข้าที่ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ จะแสดงสมรรถนะได้เต็มที่ โดยเฉลี่ยใช้ระยะทางราว 200 กิโลเมตร ถ้าใช้งานปกติคิดเป็นเวลาราว 3-4 วัน
อายุการใช้งานของยาง
เรื่องนี้เรามักได้ยินว่าควรเปลี่ยนยางทุก 20,000-30,000 กิโลเมตร หรือทุกสองปี เป็นต้น ที่บอกมานี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมาโดยตลอด เพราะอายุการใช้งานแท้จริงของยางรถยนต์นั้น ‘ใช้ได้จนกว่าดอกจะหมด’ เว้นแต่ว่ายางจะบวม บิดเบี้ยวเสียรูป ฉีกขาดหรือเสียหายจนต้องเปลี่ยน
ข้อเท็จจริงคือเมื่อยางมีอายุการใช้งานนับจากลงพื้นครั้งแรก เมื่อนานวันหรือผ่านหลักกิโลเมตรมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การสึกหรอและการเสื่อมสภาพของส่วนผสมบางอย่าง ทำให้ยางมีเสียงดังมากขึ้น ประสิทธิภาพในเรื่องของการยึดเกาะถนนลดลง ความกระด้างมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือระยะเบรกมากขึ้นด้วย
เมื่อยางอายุมากขึ้นแต่ดอกยังไม่หมด ก็เว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้นอีกหน่อยก็จะปลอดภัย ถ้าคุณรับได้ในเรื่องเสียง ความสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้น ระยะเบรกที่มากขึ้น แล้วยางไม่เสียหายก็สามารถใช้ยางได้จนกว่าดอกจะหมด อย่างผมยางแต่ละชุดกว่าจะหมดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000-60,000 กิโลเมตร
การดูแลรักษายาง ต้องหมั่นเช็กลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์เว้นอาทิตย์ หรือทุกครั้งที่ล้างรถก็จะเป็นการดี ซื้อเกจ์วัดลมยางดีๆ ติดรถไว้สักอัน เมื่อล้างรถเสร็จก็ให้เช็กลมยางด้วย การเช็กลมยางสม่ำเสมอจะทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
การสลับยาง
ไม่จำเป็นต้องยึดเรื่องระยะทางหรือเวลาตายตัว ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ ถ้าวิ่งใช้งานในเมืองหรือวิ่ง 50-100 กิโลเมตรต่อวัน ก็สัก 10,000 กิโลเมตรค่อยสลับยางสักครั้งก็ได้ หรือเฉลี่ยปีละครั้ง
ถ้าการใช้งานของคุณวิ่งข้ามจังหวัดเป็นประจำ วิ่งยาวๆ ครั้งละ 200-300 กิโลเมตร หรือยาวกว่านั้น หรือเฉลี่ยวิ่งมากกว่า 20,000 กิโลเมตรขึ้นไปต่อปี ก็ควรสลับยางทุก 6 เดือน และถ้าวิ่งยาวๆ เช่น กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ-ภูเก็ต เฉลี่ยไป-กลับ 1,500-2,000 กิโลเมตรอยู่บ่อยๆ แบบนี้ควรสลับยางทุกๆ 5,000 กิโลเมตร
ถ้าวิ่งระยะทางยาวๆ และใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือมากกว่าตลอดเวลา ยางต้องสลับเร็วขึ้นเพราะการวิ่งยาวๆ แบบนี้การสึกหรอจะเกิดขึ้นสูงมาก บางครั้งการวิ่งไป-กลับรวดเดียว 3,000 กิโลเมตร ใช้ความเร็ว 120-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การใช้งานลักษณะนี้ยางสึกมากกว่ารถที่ใช้งานในเมืองที่วิ่งเฉลี่ยปีละ 10,000 กิโลเมตรเสียอีก
ดังนั้นการสลับยางจึงไม่มีอะไรตายตัว ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ ทุกครั้งที่ตรวจเช็กลมยางนั้นควรตรวจเช็กสภาพยางไปพร้อมกัน ดูแก้มยาง ดูหน้ายางว่าบวมหรือสึกหรอผิดรูปบ้างหรือไม่ ถ้ามีต้องตรวจสอบอย่างละเอียดและแก้ไขโดยเร็ว
ลมยางนั้นต้องเช็กหลังจากจอดรถแล้วอย่างน้อย 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ลมยางถ้าเติมไนโตรเจนก็จะดีสำหรับรถที่วิ่งทางไกลเป็นประจำ แต่ถามว่าจำเป็นไหม ตอบได้เลยว่าไม่จำเป็น
เครดิต www.gmcarmagazine.com