วิธีการตรวจเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพัก

ระบบระบายความร้อนรถยนต์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถือว่าเป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์เลยก็ว่าได้  เพราะด้วยความร้อนสะสมในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน บวกกับอุณหภูมิภายนอกที่ร้อน หากระบบระบายความร้อนไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อคได้

วิธีตรวจเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำ

เราสามารถตรวจเช็กระดับน้ำหล่อเย็นได้ในขณะที่เครื่องเย็น (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำตอนเครื่องร้อนเด็ดขาด) วิธีเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำก็ง่ายๆ ครับ แค่เปิดฝาหม้อน้ำดู แล้วสังเกตปริมาณระดับน้ำในหม้อน้ำ ซึ่งน้ำจะต้องเต็ม

หากตรวจเช็คแล้วพบว่าปริมาณน้ำลดลงไป ก็จัดการเติมน้ำยาหล่อเย็นให้เต็ม (หาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ตามร้านขายอะไหล่ทั่วไป และศูนย์บริการ) และให้สังเกตสีของน้ำยาหล่อเย็นของเดิมที่อยู่ในหม้อน้ำ หากสีเปลี่ยนไปจากเดิมเช่น น้ำเริ่มเป็นสีสนิม ก็ควรเข้าศูนย์บริการ เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็น

วิธีตรวจเช็คระดับน้ำในหม้อพัก

ให้สังเกตที่หม้อพักน้ำยาหล่อเย็น จะมีสัญลักษณ์บอกระดับน้ำคือ Low และ Full หากน้ำอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Low (ขีดล่าง) คือน้ำน้อยเกินไป ถือว่าอันตราย เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ฮีตได้ วิธีแก้ก็แค่จัดการเติมน้ำยาหล่อเย็นเข้าไป จนให้ถึงสัญลักษณ์ Full (ขีดบน) และหากเราเติมเยอะเกินไปจนเลยขีด Full ควรดูดออก เพราะเวลาเครื่องยนต์ร้อน น้ำจะเดือด ซึ่งอาจทำให้น้ำล้นออกมาได้

ในการตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำและหม้อพักนั้น ควรหมั่นเช็กบ่อยๆ หรือเช็กทุกวันเลยยิ่งดี เพราะเราจะได้ทราบว่ารถเราผิดปกติหรือไม่ เช่นสมมติว่า วันนี้เราเติมน้ำจนได้ระดับที่พอดีแล้ว แต่พอวันรุ่งขึ้น ปรากฎว่าน้ำที่เติมไปลดหายอีกแล้ว หากเป็นกรณีนี้ สันนิษฐานได้เลยว่า ต้องเกิดความผิดปกติอะไรสักอย่างกับรถของเรา เช่นหม้อน้ำรั่ว ,ท่อยางแตก ,พัดลมหม้อน้ำไม่ทำงาน ,ประเก็นแตก ,ฝาโก่ง เป็นต้น และขณะขับรถให้เราหมั่นมองไปที่เกจ์ความร้อน หากความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้รีบจอดรถทันที ห้ามฝืนขับต่อเด็ดขาด

การดูแลหม้อน้ำรถยนต์ และข้อควรระวัง

  • ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องยนต์ร้อน เพราะน้ำที่กำลังเดือดอาจพุ่งใส่ในขณะที่เปิดฝา
  • น้ำที่เติม ควรเป็นน้ำยาหล่อเย็นที่ใช้สำหรับเติมในหม้อน้ำ (หาซื้อได้จากศูนย์บริการ และร้านขายอะไหล่ทั่วไป ราคาประมาณลิตรละ 1xx บาท) ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปา เพราะในระยะยาว อาจก่อให้เกิด ตะกรัน และสนิมในหม้อน้ำ

หากเราหมั่นตรวจสอบ และสังเกต เมื่อพบปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้ไว แต่หากเราขับอย่างเดียว โดยที่ไม่ทำอะไรเลย อาจทำให้ปัญหาเพียงแค่เล็กน้อย ลุกลามจนทำให้เครื่องพัง หรือทำให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ได้ครับ

 

เครดิต www.autospinn.com