ปีเตอร์ รางเคิ้ล ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก เปิดเผยว่า จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการดำเนินงาน จากเดิมที่จะผลิตยางรถจักรยานยนต์ในไทยภายในปีนี้ เลื่อนไปเป็นกลางปีหน้าแทน เนื่องจากต้องรอให้สามารถนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประจำโรงงานในไทยได้ ขณะเดียวกันได้คาดการณ์การเติบโตของรถยนต์ในตลาดโลกว่า จะชะลอการเติบโตยาวไปจนถึงปี 2024 เพราะตลาดรถยนต์ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ในปี 2563 คาดการณ์รายได้รวมของคอนติเนนทอลกรุ๊ป 37.5 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 3% โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟ 22 พันล้านยูโร หรือคิดเป็น 58.5% ของรายได้ทั้งหมด และเดินหน้าโปรเจ็ค Transformation C เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันขององค์กร ซึ่งในไตรมาส 3 ของปี 2563 คอนติเนนทอลได้ประสบความสำเร็จในการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนของบริษัทลงอย่างต่อเนื่อง และได้มีการอนุมัติเม็ดเงินในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567
ทั้งนี้ถึงแม้ว่ายอดขายของบริษัทในไตรมาสที่ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ลดลงไป 2.7% แต่เมื่อมองที่ภาพรวมของรายได้มียอดเพิ่มขึ้น 8.1% โดยมีการคาดการณ์รายได้รวมของคอนติเนนทอลกรุ๊ปที่ 37.5 พันล้านยูโร เป็นผลกำไร 3% ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟจะทำรายได้ประมาณ 58.5% ของรายได้ทั้งหมด คิดเป็นจำนวนอยู่ที่ประมาณ 22 พันล้านยูโร
นอกจากนี้คอนติเนนทอลยังคงเดินหน้าโปรเจ็คปฏิรูปองค์กรอย่างยั่งยืนหรือ Transformation C ตั้งแต่ปี 2562-2572 รวมระยะเวลา10 ปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ และส่งเสริมการเติบโตขององค์กรในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยจะกระทบต่อพนักงานรวมประมาณ 3 หมื่นคน
พร้อมทั้ง ได้นำเสนอเทคโนโลยียานยนต์และการเชื่อมต่อดิจิทัลเพื่อก้าวสู่โลกอนาคตอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ เทคโนโยลีการเชื่อมต่อ ระบบข้อมูลและความบันเทิงภายในรถยนต์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ การขับเคลื่อนอัตโนมัติและความปลอดภัย (Autonomous Mobility and Safety) และ เครือข่ายและการเชื่อมต่อข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Networking and Information) โดยในส่วนแรกมีการนำเสนอเทคโนโลยี Cruising Chauffeur ที่จะเข้าควบคุมการขับขี่ทั้งหมดจากคนขับในขณะที่อยู่บนทางด่วน และเมื่อใกล้สิ้นสุดทางด่วนจะมีการแจ้งเตือนต่าง ๆ เช่น การส่งเสียง กระพริบไฟ ไปจนถึงการสั่นเบาะ เพื่อให้คนขับรับช่วงการขับขี่ต่อบนทางปกติ ซึ่งหากคนขับไม่มีการตอบสนอง รถก็จะหาทางเข้าจอดในบริเวณจอดรถฉุกเฉินโดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย
เทคโนโลยีต่อมาที่ทำให้คนขับไม่ต้องเสียเวลาในการจอดรถอีกต่อไป คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า Valet Parking แค่คนขับลงจากรถตรงจุดส่งรถ จากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรถในการขับผ่านไม้กั้น และวนเข้าไปหาที่จอดและจอดรถอัตโนมัติอย่างแม่นยำแม้ในพื้นที่แคบ และยังสามารถขับกลับไปหาคนขับ ณ จุดส่งรถโดยอัตโนมัติได้เมื่อมีการกดปุ่มเรียกรถจากแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความอัจฉริยะในระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ คอนติเนนทอลก็ได้มีการนำเสนอ CoSmA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้เราสามารถสื่อสาร สั่งการ รวมถึงเฝ้าดูรถได้จากโทรศัพท์มือถือ และในส่วนของเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร คอนติเนนทอลได้กล่าวถึงหน้าจอสามมิติที่ดูเป็นธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี Lightfield ซึ่งเป็นมิติใหม่ของระบบ 3 มิติที่ทำให้ผู้โดยสารทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และคนขับได้สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่น และไม่รบกวนสมาธิในการขับขี่อีกด้วย
และสิ่งขาดไม่ได้เลยในนวัตกรรมยานต์นั้นก็คือ ระบบเทเลเมติกส์ ที่เป็นการเชื่อมต่อยานพาหนะทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล และยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เข้ากับคลื่นสัญญาณ 5G ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการนำยานพาหนะเข้าสู่โลกแห่งการขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังคลายความกังวลในด้านความปลอดภัยทั้งกับตัวรถและผู้ใช้รถ รวมไปถึงการเข้าถึงความบันเทิงและการอัปเดตแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่นำเสนอมาเกือบทั้งหมดจากคอนติเนนทอลนั้น ได้มีการนำเอามาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Volkswagen ID.3 เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสประสบการณ์รถยนต์ที่เป็นนวัตกรรมอันล้ำหน้าจากคอนติเนนทอลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เครดิต www.autospinn.com