อีกหนึ่งกระแสสำหรับเมอร์เซเดสเบนซ์ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ Mercedes Benz A200 ที่มาในตัวถังแบบสปอร์ต ซีดาน 4 ประตู โดยจุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้เครื่องยนต์ที่เล็กลง แต่อัดแน่นไปด้วยสมรรถนะที่เกินตัว ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนั้น เป็นรุ่นประกอบเยอรมัน ทำให้มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 2.49 ล้านบาท
และเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ทางเมอร์เซเดสเบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัว A200 รุ่นประกอบภายในประเทศ ทำให้มีราคาที่ถูกลง โดยในรุ่น Mercedes Benz A200 Progressive ราคาเพียงแค่ 1.99 ล้านบาท ส่วนในรุ่นท็อป Mercedes Benz A200 AMG Dynamic ราคาเพียงแค่ 2.15 ล้านบาท ซึ่งมีเพียงแค่ 2 รุ่นย่อยเท่านั้น และถ้าเทียบกับ A200 รุ่นประกอบนอก จะเห็นถึงความแตกต่างของราคา โดย A200 รุ่นประกอบไทยมีราคาที่ถูกกว่าประมาณ 3 แสนบาท เลยทีเดียว
ดีไซน์ภายนอก Mercedes Benz A200 AMG Dynamic
สำหรับคันที่ผมนำมารีวิวในครั้งนี้ คือรุ่น A200 AMG Dynamic ประกอบนอก มีดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง AMG รอบคัน กระจังหน้า Diamond grille สีเงินโครเมียม เมื่อสะท้อนกับแสงแดด จะมีความวิบวับสวยงาม พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส เบนซ์ บริเวณกึ่งกลางกระจัง ที่ภายในฝังด้วยเรดาห์ สำหรับตรวจจับระยะห่างระหว่างรถยนต์คันหน้า ในระบบช่วยเบรกแบบอัตโนมัติ
ไฟหน้า เป็นแบบ LED High Performance พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่ตอนกลางวันแบบ LED ที่มีลักษณะคล้ายคบเพลิง และชุดกันชน AMG ที่มีดีไซน์สปอร์ตลงตัว
กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED เลนส์กระจกฝั่งคนขับเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ส่วนกระจกมองข้างฝั่งซ้ายเป็นแบบเลนส์ธรรมดา และในรุ่น AMG Dynamic จะได้เป็นล้อแม็กซ์ AMG ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 225/45R18 ซึ่งก็เสริมให้ตัวรถมีความลงตัวและดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
หากมองด้านข้างรวมๆจะเห็นถึงความสปอร์ต ตัวรถดูเตี้ย ตามสไตล์รถวัยรุ่น โดย A200 AMG Dynamic มีความสูง 1,425 มม. กว้าง 1,796 มม. และมีความยาว 4,556 มม.
ไฟท้าย LED เต็มระบบ รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 ก็เป็นแบบ LED เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ด้านท้ายยังโดดเด่นด้วยกันชน AMG พร้อมชุดแต่งปลายท่อคู่โครเมี่ยม ซึ่งท่อคู่นี้เป็นเพียงท่อหลอกนะครับ ส่วนท่อจริงมีเพียงแค่ท่อเดียว ต้องก้มมองที่ใต้ท้องจึงจะเห็น และเมื่อเราเบรกแบบกะทันหัน ไฟกระพริบฉุกเฉินจะติดให้แบบอัตโนมัติ
กล้องถอยถูกติดตั้งไว้บริเวณที่เปิดฝาท้าย หากมองผิวเผินอาจจะคิดว่ารุ่นนี้ไม่มีกล้องถอยมาให้ เพราะตัวกล้องจะถูกพับซ่อนเก็บเอาไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน แต่เมื่อเราอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอย ตัวกล้องก็จะกางออกมา ถือเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่ดูใส่ใจดีครับ
การเปิดฝากระโปรงหลัง สามารถทำได้ 3 วิธี คือ 1.เปิดจากภายในรถ 2.เปิดที่ตัวฝากระโปรงท้าย และ 3.กดจากรีโมท แต่วิธีปิด มีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น คือ ใช้แบบแมนนวลมือ ไม่มีระบบไฟฟ้ามาให้แต่อย่างใด ในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ก็มีความจุที่พอเหมาะพอควร 420 ลิตร ใส่กระเป๋าเดินทางได้หลายใบอยู่ครับ
ดีไซน์ภายใน Mercedes Benz A200 AMG Dynamic
Mercedes Benz A200 AMG Dynamic ภายในเป็นเบาะหุ้มหนัง Artico สลับ Dinamica Microfiber สีดำ เดินด้ายเย็บสีแดง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า พร้อมเมมโมรี่ 3 จุด แต่เบาะฝั่งซ้ายเป็นแบบปรับแมนนวลมือ นั่งแล้วได้ความรู้สึกสปอร์ต ออกแนวแข็งๆหน่อย
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ Sport steering wheel หุ้มด้วยหนัง Nappa จับถนัดกระชับมือ ปรับสูง-ต่ำ-เข้า-ออก ได้ จุดเด่นของพวงมาลัยคือ มี Touchpad (ปุ่มสีดำ) ทั้งฝั่งซ้ายและขวา สำหรับควบคุมจอเรือนไมล์ และจอเครื่องเล่นตรงกลาง สำหรับปุ่มมัลติฟังก์ชั่นฝั่งซ้าย มีปุ่มสั่งงานด้วยเสียง ปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนทางด้านขวา มีปุ่มตั้งลิมิตความเร็ว ปุ่ม Cruise Control และที่หลังพวงมาลัยมีแป้น Paddle Shift สำหรับเล่นเกียร์ + –
ก้านที่ยื่นออกมาหลังพวงมาลัย ฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมพวกไฟเลี้ยว ส่วนทางด้านขวา คือคันเกียร์ ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยากครับ เพียงแค่เหยียบเบรกแล้วดันลงล่างก็เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้า ดันมาอยู่ตรงกลางเป็นเกียร์ว่าง ดันขึ้นบนสุดคือเกียร์ถอย และถ้ากดปุ่มที่ปลายก้านคือตำแหน่งเกียร์ P หากใครที่ไม่เคยใช้งานคันเกียร์แบบนี้อาจจะงงหน่อย แต่พอใช้งานไปสักพักจะชินและรู้สึกว่าสะดวกกว่าการใช้เกียร์แบบที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง
จอเรือนไมล์ และจอกลางถูกเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกัน ในส่วนของจอเรือนไมล์ เป็นแบบ All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว ใหญ่กำลังดี ภาพคมชัด หรูหรา ปรับเปลี่ยนหน้าจอได้หลากหลายรูปแบบ ดูแผนที่นำทางได้ เปลี่ยนคลื่นวิทยุได้ ดูค่าต่างๆเกี่ยวกับตัวรถได้ เช่น ดูระดับน้ำมันเครื่อง ,อุณหภูมิความร้อนเครื่องยนต์ ,ดูค่าแรงดันลมยาง เป็นต้น ใช้งานง่าย สามารถควบคุมผ่าน Touchpad ฝั่งขวาบนพวงมาลัยได้เลย
จอกลางขนาด 10.25 นิ้ว ระบบปฏิบัติการมัลติมีเดียแบบ MBUX รองรับการเชื่อมต่อแบบ Smartphone integration ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งการใช้งาน เราสามารถควบคุมได้ 3 ช่องทาง คือ 1.สัมผัสที่หน้าจอได้เลย 2.Touchpad ตรงคอนโซลกลาง 3.Touchpad ฝั่งซ้ายบนพวงมาลัย เล่นได้หลากหลายรูปแบบ และยังสามารถตั้งค่าระบบต่างๆได้ เช่น เปลี่ยนสีไฟ Ambient ,ตั้งค่าเบาะ ,เปิด-ปิด ระบบความปลอดภัยของตัวรถ ,เปิดแผนที่นำทาง เป็นต้น
สำหรับแผนที่นำทาง เราสามารถตั้งค่าให้เป็นภาพ 3 มิติได้ด้วย โดยจะเห็นเป็นภาพตึกนูนขึ้นมา หรูหรา สวยงามเลยทีเดียว
ระบบสั่งการด้วยเสียงที่รองรับได้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน และภาษาฝรั่งเศสของทุกสำเนียงทั่วโลก (natural speech recognition) ระบบนี้สามารถรับรู้และเข้าใจเกือบทุกคำที่ปรากฏอยู่ในระบบอินโฟเทนเม้นท์ของรถยนต์ โดยผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบได้เพียงพูดคำว่า “Hey, Mercedes”
อีกหนึ่งความหรูหราใน Mercedes Benz A200 AMG Dynamic คือ Ambient Light ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร ที่ปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 เฉดสี และยังสามารถตั้งค่าความสว่างได้อีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืน จะเห็นแสงไฟได้อย่างชัดเจน ช่วยเพิ่มอารมณ์ในการขับขี่ให้สนุกยิ่งขึ้น
ระบบแอร์แบบออโต้ มีช่องลมแอร์มาให้มากถึง 5 ช่อง ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจากใบพัดของเครื่องบินเจ็ท (turbine) สามารถเปิด-ปิด ลมแอร์ได้ โดยการบิดไปทางขวามือ
ถัดจากช่องแอร์ลงมาด้านล่าง จะพบกับ เก๊ะใส่ของ พร้อมช่องเสียบ USB Type-C ช่องจ่ายไฟ 12V. และยังมีที่วางแก้วมาให้อีก 2 ช่อง
Touchpad ขนาดใหญ่ สำหรับควบคุมจอที่อยู่ตรงกลาง และข้างๆกันจะเป็นสวิตช์ Dynamic สำหรับปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ที่มีอยู่ทั้งหมด 4 โหมด คือ Eco ,Comfort ,Sport ,Individual
ที่วางแขนตรงกลาง เมื่อเปิดแล้วจะพบกับช่องเก็บของ ที่มีความจุมากพอที่จะใส่ของจุกจิกและขวดน้ำเล็กๆได้ และยังมีช่องเสียบ USB Type-C
เบาะหลัง ผมสูง 175 ซม. นั่งได้โดยที่ศีรษะไม่ติดเพดาน ที่วางเท้าและช่วงหัวเข่ายังพอมีพื้นที่ ฐานเบาะรองนั่งถ้าเป็นคนขาสั้นๆหน่อย ก็จะรองรับช่วงต้นขาพอดี แต่ถ้าขายาวเหมือนผม ก็จะนั่งชันขึ้นมาหน่อย แต่การโดยสาร ถือว่าสบายอยู่ครับ มีที่วางแขนตรงกลางแบบพับเก็บได้ มีแอร์หลังมาให้ 2 ช่อง มีช่องเสียบ USB Type-C 2 ช่อง
เทคโนโลยีความปลอดภัย Mercedes Benz A200 AMG Dynamic
ระบบช่วยหยุดรถ (Active Brake Assist) และระบบช่วยจอดพร้อมกล้องหลัง (Parking package with reversing camera) และเทคโนโลยีที่เป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ คือ บริการ Mercedes me connect ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเพิ่มบริการ และฟังก์ชันต่างๆ ตามต้องการได้ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เช่น
- Mercedes-Benz emergency call system ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนและถุงลมนิรภัยทำงาน เซ็นเซอร์ของระบบนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ และส่งตำแหน่งของรถยนต์ให้กับศูนย์ช่วยเหลือทันที
- Vehicle Monitoring เจ้าของรถยนต์สามารถเช็กตำแหน่งล่าสุด หรือเส้นทางการขับขี่ของรถยนต์ได้ผ่านแอปพลิเคชันของ Mercedes me connect ได้
- Vehicle Set-up ผู้ขับขี่สามารถตรวจสอบสภาพรถยนต์ได้จากระยะไกล โดยเซ็นเซอร์ที่อยู่ในรถจะตรวจสอบสภาพของรถยนต์ในขณะนั้น และส่งเป็นข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันให้ทั้งผู้ขับขี่ และศูนย์ซ่อมบำรุงสามารถเปิดดูรายละเอียดข้อมูลสถานะต่างๆ ได้
- Maintenance Management ระบบนี้จะช่วยเตือนเมื่อถึงเวลานำรถยนต์เข้าตรวจสภาพ โดยจะตั้งวัน และเวลาเข้ารับบริการในครั้งต่อไปให้อัตโนมัติ
- Online Booking ฟังก์ชั่นสำหรับการนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการต่างๆ จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วด้วยแอปพลิเคชัน Mercedes Me Service
เครื่องยนต์ Mercedes Benz A200 AMG Dynamic
Mercedes Benz A200 AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 1,332 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว พ่วงด้วยเทอร์โบ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-DCT) ให้กำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 ใช้เวลาเพียงแค่ 8.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทดสอบการขับขี่ Mercedes Benz A200 AMG Dynamic
ก่อนที่จะได้ขับ ความคิดในหัวผมตอนนั้นคือ เครื่องยนต์แค่ 1.3 ลิตร ต่อให้มีเทอร์โบพ่วงมาให้ก็เถอะ แล้วเครื่องแค่นี้จะแบกไหวเหรอ ? แต่พอเหลือบมาเห็นแรงม้าที่มีมากถึง 163 ตัว และแรงบิดที่มากถึง 250 นิวตันเมตร รีบเปลี่ยนความคิดทันที และเดาว่าเครื่องตัวนี้มันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน !!!
หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ เข้าเกียร์ D แล้วปล่อยเบรก รถเริ่มไหลแบบไร้แรงหน่วง จังหวะที่แตะคันเร่งเบาๆในรอบความเร็วต่ำ มีอาการยึกยักกระตุกเล็กน้อย ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นสไตล์ของรถที่ใช้เกียร์แบบคลัทช์คู่ แต่พอกดคันเร่งลึกเข้าไปอีกนิด ตัวรถก็พร้อมที่จะไต่ระดับความเร็วให้ทันที ในการทดสอบ ผมขอแยกทีละโหมดการขับขี่เลยนะครับ
- โหมด ECO ในโหมดนี้ การตอบสนองของเครื่องยนต์และคันเร่งจะมาแบบเรื่อยๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก เน้นประหยัดน้ำมัน เครื่องยนต์มีกำลังเพียงพอที่จะให้เราขับขี่แบบสบายๆ หรือเร่งแซงแบบธรรมดา เหมาะสำหรับใช้งานเวลารถติด หรือใครจะใช้โหมดนี้ตลอดเส้นทางเลยก็ได้นะครับ
- โหมด Comfort สำหรับโหมดนี้ คือโหมดการขับขี่แบบปกติ หรือโหมด Normal นั่นเอง เป็นโหมดที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานของรถคันนี้แล้วล่ะครับ ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ ทั้งขับแบบช้าๆ หรือขับแบบเร่งรีบ ในโหมดนี้กำลังเครื่องยนต์มาแบบเหลือๆ เร่งแซงทันใจแบบไม่ต้องลุ้น
- โหมด Sport คือโหมดที่แรงที่สุดในรถคันนี้ครับ รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น พร้อมที่จะให้เรากระแทกคันเร่งอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าใช้โหมดนี้ในย่านความเร็วต่ำจะรู้สึกกระชาก เมื่อยกคันเร่งถึงกับหัวทิ่มเลยทีเดียว ขับสนุก ขับมัน เร่งแซงได้ทันใจ แบบไม่ต้องลุ้นเลย นอกจากนี้ ระบบช่วงล่าง ในโหมดนี้จะถูกปรับให้แข็งขึ้น พวงมาลัยจะตึงมือขึ้น และเมื่อเรากระแทกคันเร่งออก เสียงที่ถูกรีดออกมาจะทุ้มๆ ได้อารมณ์ของความสปอร์ต เรียกได้ว่าโหมดนี้โดนใจสำหรับขาซิ่งแน่นอน และเป็นโหมดที่ผมชอบที่สุดในรถคันนี้
หลักๆแล้วก็จะมีอยู่ 3 โหมดครับ นอกจากนี้ ยังมีโหมด Individual ซึ่งในโหมดนี้คือโหมดที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้เอง ว่าต้องการความแข็งของพวงมาลัยแค่ไหน อยากให้ช่วงล่างแข็งประมาณไหน และอยากให้กำลังของเครื่องยนต์อยู่ระดับไหน ปรับแต่งได้ตามความต้องการ
Mercedes Benz A200 AMG Dynamic ได้ช่วงล่างแบบ Lowered comfort suspension ปรับเปลี่ยนตามโหมดการขับขี่ ทำให้การขับเข้าโค้งในโหมด Sport ค่อนข้างหนึบ และมั่นใจว่าไม่หลุดโค้ง ระบบช่วงล่างจะออกแนวสปอร์ต ไม่ค่อยนุ่มสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้างนะครับ
ในส่วนของการเก็บเสียง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ หากวิ่งที่ความเร็วทั่วไปจะไม่ได้ยินเสียงลมภายนอกเลย แต่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่า 140 กม./ชม. จะเริ่มได้ยินเสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารบ้างเล็กน้อย และอีกจุดที่ผมชอบในรถคันนี้คือ จังหวะที่เราเหยียบคันเร่งแบบคิกดาวน์ หรือขับในโหมดสปอร์ต เสียงทุ้มที่ถูกรีดออกมา ได้อารมณ์ของความสปอร์ตมากครับ
สำหรับระบบเบรกแบบอัตโนมัติ เราสามารถตั้งระดับได้ว่า จะให้ระบบทำงานช้าหรือเร็ว และสามารถปิดระบบนี้ได้ จากการทดสอบ หากเราขับจี้ท้ายรถคันหน้า จะมีสัญญาณเตือนขึ้นที่หน้าจอเรือนไมล์ แต่ถ้าขับจี้มากเกิน รถจะเบรกให้แบบอัตโนมัติ ถือเป็นอีกหนึ่งระบบความปลอดภัยที่มีประโยชน์มากในยุคปัจจุบันครับ
ซื้อรุ่นไหนดี ? ระหว่าง
- Mercedes Benz A200 AMG Dynamic รุ่นประกอบนอก 2.49 ล้านบาท
- Mercedes Benz A200 AMG Dynamic รุ่นประกอบไทย 2.15 ล้านบาท
- Mercedes Benz A200 Progressive รุ่นประกอบไทย 1.99 ล้านบาท
หากเปรียบเทียบระหว่าง Mercedes Benz A200 AMG Dynamic รุ่นประกอบนอก กับรุ่นประกอบไทย มีจุดที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ได้อย่างเสียอย่าง เช่น รุ่นประกอบนอกมีแอร์หลัง ได้ยางรันแฟลต แต่ไม่มีระบบกุญแจแบบ Keyless Go แต่ในรุ่นประกอบไทย ไม่มีแอร์หลัง ไม่ได้ยางรันแฟลต แต่มีระบบกุญแจแบบ Keyless Go มาให้ เป็นต้น แต่ถ้าเทียบราคา ที่แตกต่างกันถึง 3แสนกว่าบาท ผมว่ารุ่นประกอบไทยคุ้มกว่าครับ
และถ้าเปรียบเทียบระหว่าง Mercedes Benz A200 AMG Dynamic รุ่นประกอบไทย กับ Mercedes Benz A200 Progressive (รุ่นเริ่มต้น) ถ้าเป็นผม ผมเชียร์ให้ซื้อรุ่น AMG Dynamic 2.15 ล้านบาท ครับ เพราะจ่ายเงินเพิ่มแค่ 1.6 แสนบาท แต่ได้ออปชั่นที่มากกว่า และคุ้มค่ากว่า เช่น ได้กระจังหน้า Diamond grille ,กันชนหน้า-หลัง AMG ,ล้อ 18 นิ้ว AMG ,ช่วงล่างแบบ Lowered comfort suspension ที่ปรับเปลี่ยนตามโหมดขับขี่ ,ภายใน AMG ,เบาะหุ้มหนัง Artico สลับ Dinamica microfiber ,เบาะนั่งแบบสปอร์ต ,พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa ,จอเรือนไมล์ 10.25 นิ้ว ,แผนที่นำทาง ,ไฟ Ambient light เป็นต้น
สรุปโดยรวม
ในเรื่องของการดีไซน์ส่วนตัวแล้วผมขอชื่นชมว่าออกแบบได้ทันสมัย ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งก็แน่นอนว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของ Mercedes Benz A200 คือกลุ่มวัยรุ่นและวัยกลางคน ที่หลงไหลในภาพลักษณ์ของความหรูหราของแบรนด์นี้ ถึงแม้ในรุ่น A200 คือรุ่นที่ถูกที่สุดสำหรับเมอร์เซเดส เบนซ์ แต่ในเรื่องของ วัสดุ งานประกอบ ออปชั่น และเทคโนโลยีต่างๆ ยังคงรักษามาตรฐานได้ดี แทบไม่ต่างกับในรุ่นที่แพงกว่านี้เลยครับ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เครดิต www.autospinn.com